40 คือจำนวนรวมล่าสุดของร่างผู้เสียชีวิตที่ถูกพบในวัดพระบาทน้ำพุ ตำบลเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ตั้งแต่ปี 2535 โดยศพจำนวนมากถูกดองเอาไว้ในตู้ บ้างถูกห่อด้วยผ้า บ้างไม่ได้ห่อ บางศพมีรายละเอียดส่วนตัวของผู้ป่วยระบุเอาไว้
เจ้าหน้าที่ของวัดอ้างว่า ศพที่ถูกดองเอาไว้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นวิทยาทานและข้อเตือนใจไม่ให้ชาวบ้าน ‘พลาดพลั้ง’ เหมือนบุคคลเหล่านี้ แต่ปลัดเทศบาลเมืองเขาสามยอดเปิดเผยว่า ตามหลักกฎหมาย การดองศพไม่สามารถทำได้
ภาพผู้ป่วยเอดส์นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในสภาพซูบผอม ภายในวัดพระบาทน้ำพุถูกนำเสนอบ่อยครั้งผ่านสื่อช่องทางต่างๆ อาจทำให้ผู้เห็นเกิดความรู้สึกสะเทือนใจและความรู้สึกสงสาร จนกลายเป็นภาพที่ใช้เชิญชวนให้ผู้ใจบุญร่วมทำบุญ ด้วยการบริจาคเงินเข้ามาในวัดเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วย ขณะเดียวกันผู้ป่วยโรคเอดส์บางส่วนก็เดินทางเข้ามายังวัดพระบาทน้ำพุเพื่อเข้ารับการรักษา
ปัจจุบันผู้ที่ตรวจพบเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยโรคเอดส์ สามารถรักษาได้ตามโรงพยาบาลของรัฐมาตั้งแต่ปี 2548 และครอบคลุมอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และด้วยวิทยาการทางการแพทย์ปัจจุบันที่ก้าวหน้าในด้านการรักษา ทำให้ผู้ติดเชื้อ HIV ที่เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องมีโอกาสที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติ
แล้วภาพความน่ากลัวของการติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์ มีความจำเป็นหรือไม่ในการรักษาผู้ป่วย
The Momentum พูดคุยกับ อภิวัฒน์ กวางแก้ว รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย มองพฤติการณ์และ ‘ความจำเป็น’ ในการนำเสนอภาพของผู้ป่วยเอดส์ในวัดพระบาทน้ำพุว่า สร้างผลกระทบอย่างไรกับ ‘มุมมอง’ สังคม และการเข้าถึงผู้ป่วย HIV และผู้ป่วยเอดส์
การแพร่ภาพที่สร้างความหวาดกลัวต่อผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ อภิวัฒน์ระบุว่า เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อน เนื่องจากยารักษามีราคาแพง ผู้ป่วยโรคเอดส์จึงเจอกับปัญหาเข้าไม่ถึงการรักษา หลายคนเสียชีวิต จึงเกิดการส่งผู้ป่วยไปยังสถานสงเคราะห์หรือวัดด้วยความไม่รู้และไม่เข้าใจ ทำให้ครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน และทำให้ผู้ป่วยตายแบบเป็นใบไม้ร่วง จึงเกิดแนวคิดว่า เป็นเอดส์ = เสียชีวิต
“กระทรวงสาธารณสุขในช่วงเวลานั้นจึงมีแนวคิดควบคุมและจัดการโรค ด้วยภาพที่สร้างความหวาดกลัว เอาแนวคิดการมั่วเพศ มั่วเข็มเท่ากับติดเอดส์แน่นอน เป็นเอดส์รักษาไม่ได้ เป็นเอดส์ตายอย่างเดียวโยนเข้ามาในสังคม เชื่อมโยงไปถึงเรื่องเวรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ติดเชื้อ ทั้งยังมีการเอาภาพความน่ากลัวเหล่านี้มาขอเงินบริจาค เพราะมองว่าเป็นสถานการณ์ที่ต้องช่วยเหลือกัน”
อภิวัฒน์กล่าวต่อว่า เมื่อผู้ป่วยส่วนหนึ่งถูกส่งมายังสถานสงเคราะห์หรือวัด จึงมีการนำเสนอภาพความน่ากลัวของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ด้วยเช่นกัน กรณีของวัดพระบาทน้ำพุเป็นพฤติการณ์ที่อภิวัฒน์มองว่า อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น ‘อุทาหรณ์’ ว่า HIV เป็นสิ่งที่เลวร้าย หรือเพื่อ ‘แสวงหาผลประโยชน์’
“อาจเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กล่าวมา หรือทั้ง 2 วัตถุประสงค์รวมกัน หรืออาจไม่ใช่ทั้ง 2 วัตถุประสงค์ก็ได้ ซึ่งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง”
จากกรณีภาพผู้ป่วยเอดส์ที่ถูกเผยแพร่ อภิวัฒน์มองว่า เป็นการ ‘ละเมิดสิทธิผู้ป่วย’ นอกจากนี้การนำร่างของผู้ป่วยเอดส์ที่เสียชีวิตมาดองและจัดแสดงเอาไว้ภายในวัดพระบาทน้ำพุยังเป็นพฤติการณ์ที่ ‘ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’
“การสตัฟฟ์ศพและเขียนป้ายว่าผู้ตายคือใคร เช่น Sex Worker เป็นผู้ใช้ยา ซึ่งเป็นการสื่อสารเชิงลบที่คล้ายกับสถานการณ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ในขณะที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำการตีตราทำให้คนเข้าใจผิดกับผู้ติดเชื้อที่จะไปใช้ชีวิต ไปทำงาน ไปเรียนทำให้เขาเกิดอุปสรรค เพราะยังมีภาพนี้อยู่ในสังคม”
รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย เน้นย้ำว่า แม้สถานการณ์ของผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยเอดส์ในวันนี้จะแตกต่างจากเมื่อ 40 ปีก่อน เพราะสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันทีเมื่อตรวจพบเชื้อ HIV และมีระบบการรักษาที่ก้าวหน้าจนผู้ป่วยมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่การนำเสนอภาพของผู้ป่วยเอดส์ที่สร้างความหวาดกลัวยังคงมีอยู่ และสร้างผลกระทบในแง่ลบมากกว่าแง่บวก กับความพยายามในการยุติการระบาดของโรคเอดส์
“แน่นอนว่ามันมีปัญหากับการทำงาน เพื่อยุติการระบาดของโรคเอดส์ของเครือข่ายฯ ของเรา คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า เป็นแล้วรักษาไม่ได้ต้องตาย ต้องไปอยู่ตามสถานสงเคราะห์ที่ต่างๆ ซึ่งมันทำให้เขาเข้าไม่ถึงการรักษาอีก
“แม้เขาจะมีสิทธิประโยชน์ในระบบการรักษาอยู่แล้ว แต่ก็เข้าระบบรักษาไม่ได้เพราะความกลัว ความไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้มันยังคงรบกวนผู้ป่วยอยู่
“ท้ายที่สุดการตีตราและการถูกเลือกปฏิบัติก็จะเกิดขึ้น จะไปเรียนก็ต้องตรวจ HIV จะไปหางานทำก็ต้องมีการขอตรวจ HIV ยังไม่รวมการเอาเรื่องความเจ็บป่วยไปผูกโยงกับเรื่องของเวรกรรมอีก สังคมได้รับผลกระทบแน่นอน หากยังนำเสนอภาพความน่ากลัวอยู่” อภิวัฒน์ระบุ
เมื่อถามว่า วัดจะเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการยุติการระบาดของโรคเอดส์ได้อย่างไร รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย ชี้ว่า วัดต้องยกเลิกภารกิจในลักษณะที่ทำอยู่อย่างเช่นการนำเสนอภาพของผู้ป่วยที่สร้างความหวาดกลัว และเริ่มสื่อสารเพื่อ ‘สร้างความเข้าใจ’ “เพราะหากยังปล่อยให้เกิดความไม่เข้าใจและความหวาดกลัวต่อผู้ป่วยตลบอบอวลอยู่แบบนี้ จนเกิดการเลือกปฏิบัติจากความรังเกียจ แม้จะมีวัดอีกกี่วัดก็ไม่เพียงพอที่จะดูแลพวกเขา ถ้าเราไม่ทำให้เขากลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียม”
อภิวัฒน์ชี้ว่า ปัจจุบันระบบการดูแลผู้ป่วย HIV และเอดส์นั้นครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาพยาบาล สามารถใช้ได้ตั้งแต่การตรวจหาเชื้อ HIV เมื่อตรวจพบก็สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการรับยาต้านไวรัสกับสถานพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้เขายังเน้นย้ำว่า เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง จะทำให้ปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดต่ำกว่า 200 Copies ต่อซีซีของเลือด (หน่วยวัดปริมาณเชื้อไวรัส HIV ในเลือด) ซึ่งจะตรวจหาไม่เจอ ผู้ป่วยจึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแม้กระทั่งการมีชีวิตคู่ “ผู้ป่วยควรได้รับการสนับสนุนให้ได้ใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน”
อภิวัฒน์กล่าวทิ้งท้ายว่า “เอดส์รักษาได้ตั้งนานแล้ว และไม่ควรถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของการสื่อสารในเชิงลบ คนที่ติดเชื้อแต่ได้รับการรักษาแล้ว เขาต้องไปทำงาน เขายังต้องไปเรียน เขาต้องไปลูกมีครอบครัว ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป สิ่งที่สำคัญคือหน่วยงานของรัฐต้องออกมาทำหน้าที่แอ็กชันแข็งแรงมากกว่านั้น เช่น จากนี้ไปประเทศไทยจะไม่มีการบังคับตรวจ HIV ก่อนเข้าทำงานแล้วนะ ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน หากใครอยากจะรู้ว่า ตัวเองมีเชื้อหรือเปล่า ก็ต้องส่งเสริมให้เขารู้สถานะของตัวเอง เดี๋ยวนี้ชุดตรวจมี สิทธิประโยชน์มี ไม่มีผลกระทบใดๆ กับการทำงานก็ต้องพูดเรื่องนี้ออกมาชัดๆ ต้องแข็งแรงมากกว่านี้ ”
Tags: HIV, เอชไอวี, โรคเอดส์, วัดพระบาทน้ำพุ, พระบาทน้ำพุ