วันนี้ (12 มกราคม 2567) ที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคารบี กระทรวงพลังงาน นำโดย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้จัดแถลงข่าว ผลการดำเนินงานปี 2566 และแผนการดำเนินงานปี 2567 โดยภารกิจทางด้านนโบายที่กระทรวงพลังงานได้เตรียมไว้คือ การรื้อ ลด ปลด สร้าง ซึ่งจะมุ่งแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบที่ใช้มานานให้ทันสถานการณ์ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน โดยที่การบริหารจัดการของกระทรวงพลังงาน นั้นคาบเกี่ยวระหว่าง 2 รัฐบาล คือรัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องการให้กระทรวงพลังงานช่วยดูแลประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้ไม่สูงและมีอัตราการใช้พลังงานต่ำ ซึ่งในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมปี 2566 ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ดูแลในเรื่องค่าแก๊สหุงต้ม ค่าไฟฟ้า และค่าน้ำมันเบนซินเป็นหลัก โดยราคาค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.99 บาท/หน่วย จากเดิม 4.10 บาท/หน่วย และตรึงราคาแก๊สหุงต้ม (LPG) อยู่ที่ 423 บาท/ถัง 15 กิโลกรัม
ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงานได้กล่าวถึงภาพรวมพลังงานในปี 2566 ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์พลังงานในปีที่ผ่านมามีความผันผวนสูง การใช้พลังงานโดยรวมในประเทศมีสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่า 18% หากเทียบจากปี 2565 และมีโครงการช่วยในสถานการณ์วิกฤตพลังงานกว่า 1 แสนล้านบาท ทั้งการตรึงราคาค่าน้ำมัน ค่าแก๊สหุงต้ม และแก๊ส NGV ผ่านโครงการ NGV เพื่อลมหายใจเดียวกัน
ภาพรวมในปี 2567 จะมุ่งเน้นสร้างความมั่นคงของพลังาน ไม่ว่าจะเป็นแผนพลังงานชาติง การดูแลในส่วนของการบริหารจัดการ การเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งเอราวัณ (แหล่งผลิตก๊าซ G1/61) การเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจ การเพิ่มอัตราสำรองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และโครงสร้างราคาพลังงานต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีการสนับสนุนเรื่องพลังงานหมุนเวียน ผ่านการส่งเสริมโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล Solar Roof ในภาครัฐและภาคประชาชน
“เรายังเดินหน้าในการลดก๊าซเรือนกระจก ไปสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral) ในปี 2050” ประเสริฐกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการตรึงราคาน้ำมันเบนซินที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคมนี้ว่ากระทรวงพลังงานจะสามารถกำกับดูแลไม่ให้ราคาน้ำมันเบนซินทะลุลิตรละ 3 บาท ได้หรือไม่ ประเสริฐกล่าวว่า ยังได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นมีการปรับลดลง และถือว่าไม่ได้มีราคาสูงมาก เรื่องนี้ต่อดูต่อไปว่าจะมีการต่ออายุมาตรการหรือไม่ แต่เขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าราคาจะไม่เพิ่มสูงขี้น เพราะต้องดูปัจจัยสถานการณ์อื่นมาประกอบด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีการรื้อโครงสร้างพลังงาน พีระพันธุ์กล่าวว่า ปัจจุบันโครงสร้างพลังงานยังมีรูปแบบเก่าอยู่ที่อาศัยโครงสร้างทางภาษีเป็นหลัก โดยคิดว่าหากโครงสร้างยังเป็นเช่นนี้อยู่จะไม่ยั่งยืน เพราะต้องมาทบทวนทุก 2-3 เดือน ซึ่งทำให้การลดราคาพลังงานนั้นทำได้เพียงแค่การลดภาษี ดังนั้นต้องมาหารูปแบบอื่น ๆ บ้าง ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานก็กำลังดำเนินการในการปรับโครงสร้างพลังงานอยู่ พีระพันธุ์ยืนยันว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนได้รับราคาพลังงานที่เป็นธรรมมากขึ้น
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้เปิดเผยว่าในที่ประชุมของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ลงมติเห็นชอบเอฟทีปลีกเรียกเก็บสำหรับงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2567 จำนวน 39.72 สตางค์ต่อหน่วยตามสูตรคำนวณเอฟที ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเรียกเก็บไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย
Tags: ค่าไฟ, น้ำมัน, กระทรวงพลังงาน, พีระพันธุ์, ก๊าซหุงต้ม