วันนี้ (15 พฤษภาคม 2566) ที่อาคารอนาคตใหม่ สำนักงานใหญ่พรรคก้าวไกล ซอยรามคำแหง 42 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล แถลงประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการพร้อมกล่าวว่า ตนเองพร้อมเป็นว่าที่นายกฯ คนต่อไปของประเทศไทย และพร้อมเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก เบื้องต้นติดต่อพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมทั้ง 5 พรรค ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย และพรรคเป็นธรรม ซึ่งนับเสียงรวมกันได้ 309 เสียง พร้อมแสดงความมั่นใจว่า จะสามารถพาประเทศแก้ปัญหาเก่าและพาประเทศไปสู่อนาคตได้อย่างแน่นอน
“เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ประชาชนคนไทยออกมาแสดงเจตจำนงผ่านคูหาเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ของการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผมจึงขอประกาศว่า พรรคก้าวไกลพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นี่คือการน้อมรับฉันทามติจากประชาชนที่พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาล และผมพร้อมพร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ผมพร้อมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และความแตกต่างทำให้ผมเป็นนายกฯ ที่ดียิ่งขึ้น
“ผมมีโอกาสติดต่อไปยังแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมทั้ง 5 พรรค และได้โทรศัพท์ติดต่อถึง คุณแพทองธาร ชินวัตร และร่วมแสดงความยินดีพร้อมเสนอแนวทางในการร่วมรัฐบาลตามที่เคยสัญญากับประชาชน อีกทั้งยังเชิญไปถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำงานร่วมกันมาตลอด 4 ปี ทั้งพรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย ซึ่งตอนนี้รวมกันได้กว่า 308 เสียง และกำลังอยู่ในการติดต่อ คือพรรคเป็นธรรม อีก 1 เสียง”
พร้อมทั้งระบุว่า ที่เชื้อเชิญพรรคเป็นธรรมเข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากขณะที่พรรคก้าวไกลลงพื้นที่ไปพูดคุย ทำงานกับประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโอกาสได้คุยกับทางพรรคเป็นธรรม และมองว่าทั้งสองพรรคมีแนวทางที่สามารถร่วมกันงานกันได้ โดยเชื่อตรงกันในเรื่องความมั่งคั่งทางอาหารมากกว่าความมั่นคงทางทหาร เน้นย้ำการใช้พลเรือนนำการทหาร ซึ่งหวังว่าจะเป็นคำตอบในการแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอนาคต
ทั้งนี้ พิธาตอบคำถามสื่อมวลชนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลว่า การรวมกันกว่า 308 เสียง เพียงพอแล้วกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งทุกฝ่ายทุกภาคส่วนต้องน้อมรับฉันทามติจากประชาชนมาปฏิบัติ พร้อมทั้งเป็นการปิดประตูการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่างเบ็ดเสร็จ และจะมีการทำสัญญาบันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือ MOU ระหว่างกัน โดยมองว่ามีความจำเป็นที่พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมี MOU เพื่อให้ประชาชนเห็นความคาดหวังของการทำงาน ขณะเดียวกัน ก็เป็นการให้ประชาชนได้เห็นนโยบายต่างๆ และมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจ เพราะฉะนั้น MOU ที่จะเซ็นสัญญาคงจะมีประโยชน์กับทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน
ในเรื่องการทำงานหลังการจัดตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลจะนำโรดแมปที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้งไปพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเก่า รวมถึงการทำประชามติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างความเจริญเติบโต และลดความเหลื่อมล้ำไปในคราวเดียวกัน ต่อมาคือมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล คณะทำงานดังกล่าวจะทำงานสอดคล้องกับทุกพรรคการเมืองในรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อให้การทำงานในรัฐบาลใหม่เป็นไปด้วยความราบรื่น ทั้งในภาคข้าราชการและเอกชน สุดท้ายพร้อมเดินหน้าทำความเข้าใจกับผู้เห็นต่าง และรับฟังในทุกความคิดเห็น
“เริ่มจากการทำ 300 นโยบายให้เป็นจริง เริ่มจากการแก้ปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่ และพร้อมพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคต แก้ไขปัญร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แก้ปัญหาเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกัน”
ขณะเดียวกัน พิธาไม่ได้กังวลเรื่องเสียงจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 เสียง ซึ่งตนเชื่อว่า สมาชิกวุฒิสภามีเสียงเป็นของตนเอง ไม่ได้รับคำสั่งมาจากใคร และคงไม่ฝืนฉันทามติจากประชาชน การฝืนประชามติคงไม่มีประโยชน์กับใครเลย โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภาเอง
ในช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ พิธาระบุในเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า เป็นห่วงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมกล่าวอย่างชัดเจนว่า ไม่ยกเลิกแต่เป็นการแก้ไข ซึ่งการแก้ไขทุกสิ่งคงต้องผ่านการทำงานผ่านรัฐสภา และเสียงของรัฐบาลก็สามารถเสนอการแก้ไขเรื่องนี้ให้เป็นไปได้และชัดเจนยิ่งขึ้น
ต่อมา ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ถามถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา รัฐบาลเสียงข้างมากที่กำลังจะเกิดขึ้นจะแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งพิธาแจงว่า ประเทศจะร่วมแก้ไขปัญหาโดยเสนอแนวทางสันติวิธี ให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม และเชื้อเชิญให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวบนเวทีระดับโลกและเจรจาให้มีคนกลางในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดความสันติและแก้ไขปัญหาเผด็จการทหารได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ก่อนจะเดินทางไปขอบคุณประชาชนที่เลือกและไว้วางใจ โดยจะปักหลักบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังจากนั้นจะเดินทางทั่วทุกภูมิภาค พร้อมสัญญาว่าจะเร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยมีความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงใดๆ
“ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน มั่นใจในการทำงานของพรรคก้าวไกล เราจะทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ และรวดเร็ว เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน หมดเวลาของการทำรัฐประหารในประเทศไทย ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่ของก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นของประชาชนทั้งประเทศ”
Tags: Democracy Strikes Back, ก้าวไกล