วันนี้ (24 ตุลาคม 2568) ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ ‘กัน จอมพลัง’ พร้อมด้วย อีฟ-กาญจนา สถาวร ประธานมูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ นำแถลงข่าวข้อสงสัยเรื่องการใช้เงินบริจาคของมูลนิธิฯ 

กาญจนาเริ่มกล่าวว่า เงินตั้งต้นของมูลนิธิเริ่มที่ 5 แสนบาทซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย โดยเงินดังกล่าวมาจากการรวมกันของเพื่อนๆ กัณฐัศว์ 

“เงินเข้าทั้งหมดจดกันดีๆ นะคะ 207,350,262.04 บาท ปัจจุบันเราใช้เงินไปแล้วทั้งหมด 117,673,106.02 บาท และเงินคงเหลือในบัญชีอยู่ที่ 90,177,156.02 บาท แต่ข้อมูลนี้เราสรุปกันเมื่อวาน ณ ขณะนี้หน้างานยังมีการดำเนินงานกันอยู่ ตัวเลขอาจจะคลาดเคลื่อนนิดหน่อย” กาญจนาแจง

ขณะที่ประเด็นการ ‘เรียกรับเงิน’ ก่อนจัดตั้งมูลนิธิ กาญจนาชี้แจงว่า ไม่เคยมีการเรียกรับเงินก่อนตั้งมูลนิธิใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนกรณีที่มีประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เรื่องประกาศนายทะเบียนมูลนิธิ เรื่องจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ กาญจนาชี้แจงต่อว่า ในเอกสารราชกิจจานุเบกษามีการระบุไว้ชัดเจนว่า นายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานครได้ลงนามตั้งมูลนิธิฯ เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2568

ส่วนประเด็น ‘ข้อบังคับมูลนิธิข้อที่ 39’ ที่มีการระบุว่า หากมีการจดทะเบียนเลิกของมูลนิธิฯ กาญจนากล่าวว่า ในครั้งแรกที่มีการยื่นเอกสาร ตนและพรรคพวกเป็น ‘หน้าใหม่’ ที่มีเพียงความตั้งใจที่อยากเร่งจัดตั้งมูลนิธิฯ ให้รวดเร็วที่สุด เพราะมีเคสขอความช่วยเหลือเข้ามาจำนวนมาก ขณะที่เงินลงขันก็กำลังจะหมดลง จึงอยากตั้งมูลนิธิฯ ให้ได้ไวที่สุด

ด้านฝ่ายบัญชีมูลนิธิฯ ระบุว่า ข้อบังคับข้อ 39 ที่ระบุว่า “หากมูลนิธิจดทะเบียนเลิกจะต้องมีมูลนิธิใดที่เข้ามาบริหารงานนี้ต่อไป” คนในสังคมเข้าใจผิดว่า เมื่อมูลนิธิฯ จดทะเบียนเลิก เงินบริจาคที่เข้ามูลนิธิฯ ทั้งหมดจะตกเป็นของมูลนิธิอื่น ตนจึงขอชี้แจงว่า เมื่อใดก็ตามที่มูลนิธิจดทะเบียนเลิกด้วยเหตุใดๆ กฎหมายบังคับไว้ว่า ให้มูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นบริหารต่อเพื่อไม่ให้ทรัพย์สินหรือเงินบริจาคสูญหายไป เป็นประโยชน์สาธารณะ เป็นประโยชน์ของผู้บริจาค

ดังนั้นการที่จะออกข้อบังคับ 39 จึงเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 134 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว ให้โอนทรัพย์สินของมูลนิธิให้แก่มูลนิธิหรือนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ตามมาตรา 110 ซึ่งได้ระบุชื่อไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ ถ้าข้อบังคับของมูลนิธิมิได้ระบุชื่อมูลนิธิหรือนิติบุคคลดังกล่าวไว้ พนักงานอัยการ ผู้ชำระบัญชี หรือผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใด อาจร้องขอต่อศาลให้จัดสรรทรัพย์สินนั้นแก่มูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่ปรากฏว่ามีวัตถุประสงค์ใกล้ชิดที่สุดกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นได้ ถ้ามูลนิธินั้นถูกศาลสั่งให้เลิกตามมาตรา 131 (1) หรือ (2) หรือการจัดสรรทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งไม่อาจกระทำได้ ให้ทรัพย์สินของมูลนิธิตกเป็นของแผ่นดิน”

ในประเด็นนี้กาญจนาอธิบายเสริมว่า หลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามข้อกฎหมายที่ระบุไว้คือ หากมูลนิธิเลิกไปพนักงานคนใดคนหนึ่งจะไม่สามารถรับเงินบริจาคต่อได้ นอกจากนั้นหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ว่า จะต้องมีมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลใดเป็นผู้รับต่อไป และถ้ารับต่อไปแล้วไม่สามารถที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ก็ให้ตกแก่แผ่นดินไป

อย่างไรก็ตามกาญจนาชี้แจงต่อว่า ปัจจุบันมูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ ‘ไม่เคย’ โอนเงินออกไปให้มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ทุกกรณี เพราะตั้งแต่เปิดมูลนิธิฯ มามีเพียง 2 มูลนิธิที่โอนออกไปตามความประสงค์ของ แจ็กสัน หวัง (Jackson Wang) นักร้องชื่อดังที่เข้ามาช่วยเหลือเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจำนวนประมาณ 3 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1.16 ล้านบาทแก่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์, 1.16 ล้านบาทแก่มูลนิธิเพื่อนพึ่งพายามยาก และส่วนที่เหลือ 1.08 ล้านบาทยังอยู่ที่มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้

ส่วนเหตุผลที่ข้อบังคับ 39 ระบุว่า เป็นมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า กาญจนาชี้แจงว่า เป็นเพราะกัณฐัศว์เคยไปช่วยเหลือกับมูลนิธิต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ในตอนที่ยังไม่มีมูลนิธิกันจอมพลัง แต่ขณะกำลังจัดตั้งมูลนิธิฯ ก็ถูกกระทรวงมหาดไทยตีกลับเอกสารการจัดตั้งมา เนื่องจากจะต้องระบุชื่อของมูลนิธิที่จะมารับผลประโยชน์รวมถึงวัตถุประสงค์ต่อในกรณีที่จดทะเบียนเลิก

“ณ ขณะนั้นเราอาจจะไม่ได้มีความสนิทสนมพิเศษใดๆ กับมูลนิธิอื่นจนจะไปขอทราบข้อบังคับมูลนิธิอื่น หรือถามว่าพร้อมหรือไม่หากมูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้จดทะเบียนเลิก และพร้อมจะดำเนินการต่อตามมูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ 

“แต่มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เขาพร้อมที่จะยอมรับ มันเลยเป็นเพียงแค่ความเหมาะสมที่สุด ณ วันนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้” กาญจนากล่าว

อย่างไรก็ตามประธานมูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ ขออภัยที่ ณ ตอนนั้นคิดน้อยไป เพียงเพราะต้องการรีบจัดตั้งมูลนิธิฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะมีความต้องการการช่วยเหลือรออยู่ โดยขณะนี้ทีมงานของมูลนิธิมีการหารือกันแล้วที่จะปรับแก้ไขข้อบังคับข้อ 39

ด้านกัณฐัศว์ยืนยันว่า มูลนิธิที่ทำไม่ได้มีเจตนาว่า จะเอาเงินไปให้ใคร อีกทั้งทุกวันนี้ยังไม่มีเงินไปถึงผู้ใด ดังนั้นเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย มูลนิธิจะดำเนินการเปลี่ยนข้อบังคับ 39 แต่ตนยังไม่ขอนำชื่อมูลนิธิใหม่ออกมาพูด ณ เวลานี้ เพราะเกรงว่าอาจสร้างความไม่พอใจที่นำชื่อมูลนิธิอื่นมาในเวลาที่มูลนิธิของตนมีปัญหา ทั้งนี้ยืนยันว่ามูลนิธิใหม่นั้นเป็นมูลนิธิที่ดี แข็งแรง มีศักยภาพ และมีความมั่นคง

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้เบิก ‘เงินสด’ ออกไป กาญจนาเปิดเผยว่า รู้สึกแปลกใจและปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ เพราะตามข้อตกลงของมูลนิธิฯ ไม่มีการใช้จ่ายผ่านเงินสด อีกทั้งการเบิกเงินต้องใช้กรรมการ 2 ใน 3 ในการดำเนินธุรกรรมดังกล่าว

กัณฐัศว์ระบุเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ไม่ถอนเงินสดออกมา เพราะเงินสดเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทุจริตได้ ตนจึงอยากให้คนที่บอกว่า มูลนิธิฯ มีการกดเงินสดออกมา โปรดแสดงหลักฐานที่ชัดเจนว่า มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ทำธุรกรรมดังกล่าวจริง

ทั้งนี้ในวันเดียวกันมี ณวัฒน์ อิสรไกรศีล เจ้าของเวทีประกวดนามงาม Miss Grand Thailand และไอซ์-รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชนเข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย โดยรักชนกตั้งคำถามไปยังกัณฐัศว์ว่า เหตุใดต้องโกหกประชาชนว่าไม่มีความสนิทสนมกับร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กัณฐัศว์ชี้แจงว่า ตนไม่ทราบคำนิยามความสนิทของรักชนกว่าหมายถึงระดับใด แต่ยืนยันว่า ตนเคยบอกไปก่อนแล้วว่าสนิทกับร้อยเอกธรรมนัส 

ทั้งนี้กัณฐัศว์ถามกลับว่า หากความช่วยเหลือประชาชนของตนนั้นเป็นการช่วยเหลือทางการเมืองกับร้อยเอกธรรมนัส แล้วการที่ตนได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือกับสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ของพรรคประชาชนนั้นถือเป็นการช่วยเหลือทางการเมืองด้วยหรือไม่

“พี่น้องคนไหนถ้าอยากจะสนิทกับผม อยากจะช่วยเหลือสังคม ผมพร้อมสนิทหมด เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชน ผมมั่นใจว่า ผมสนิท แต่ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ใคร”

Tags: