วันนี้ (22 กรกฎาคม 2565) ที่รัฐสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้กล่าวอภิปรายถึงการที่พลเอกประยุทธ์บิดผันกระบวนการยุติธรรมและใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อปราบปรามประชาชนผู้เห็นต่าง และปิดกั้นการใช้เสรีภาพของประชาชน และขอเรียกร้องให้มีการคืนความยุติธรรมแก่ประชาชนทุกคนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง รวมถึงการดำเนินคดีด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

เบญจากล่าวว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2557 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พลเอกประยุทธ์ได้ทำลายทั้งระบบกฎหมายปกติ ระบบนิติรัฐ และได้สถาปนาระบบกฎหมายชุดใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งกฎหมายที่พลเอกประยุทธ์เขียนขึ้นมาใหม่ได้กลายเป็นข้ออ้างหลักในการดำเนินคดีกับประชาชน จนกลายเป็นการปกครองแบบ ‘Rule by law’ ในรูปแบบประกาศคำสั่งของ คสช. และการใช้กฎหมายความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นฯ และ มาตรา 112 หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ที่ถูกนำมาใช้ดำเนินคดีกับประชาชนที่ต่อต้านรัฐประหาร นอกจากนี้ยังมีการควบคุมตัวประชาชนในค่ายทหารและดำเนินคดีในศาลทหารอีกด้วย

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ภายใต้รัฐบาล คสช. มีพลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารอย่างน้อย 2,408 คน และมีผู้ถูกดำเนินคดีจากประกาศและคำสั่ง คสช. อย่างน้อย 428 คน 67 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างน้อย 197 คน 115 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีจาก ม.116 อย่างน้อย 124 คน 50 คดี และมีผู้ถูกดำเนินคดีตาม ม.112 อย่างน้อย 169 คน

แม้ว่าหลังปี 2561 จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นและทำให้สถานการณ์การรัฐประหารเบาบางลง แต่กระแสการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลกลับไม่เบาบางและฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งในปี 2563 จึงเกิดการใช้กฎหมายดำเนินคดีการเมืองและใช้กระบวนการยุติธรรมกับประชาชนอย่างบิดเบือนรุนแรงและกว้างขวางเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะการนำ มาตรา 112 กลับมาใช้อีกครั้ง ผ่านการดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมนมหลายคน มีการฟ้องร้องที่ต่างจังหวัดทำให้ผู้ต้องหาต้องสู้คดีด้วยความยากลำบาก นอกจากนี้ยังมีการรื้อฟื้นคดีย้อนหลังไปหลายปี ดำเนินคดีไม่เลือกหน้าแม้กระทั่งเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปีก็ถูกดำเนินคดี หรือแค่แต่งกายด้วยชุดครอปท็อปก็ถูกดำเนินคดีอีกด้วย

นอกจากนี้ผู้ถูกกล่าวหาด้วยคดีนโยบายตาม มาตรา 112 จะไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ทั้งที่พฤติการณ์เป็นเพียงการแสดงออกทางการเมืองหรือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสันติ ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ไม่มีพฤติการณ์ที่จะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จนทำให้เกิดการประท้วงอดอาหารตามมา หรือการประท้วงให้ประมีการกัน หรือหากผู้ถูกกล่าวหาได้รับการประกันตัวก็จะถูกให้ประกันตัวด้วยเงื่อนไขที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

เหล่านี้จึงทำให้จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีตามนโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีจำนวนสูงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทย ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังในเรือนจำไม่ได้รับการประกันตัวอย่างน้อย 30 คน จากวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไปแล้วอย่างน้อย 1,832 คน โดยเป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 282 ราย มีผู้ถูกดำเนินคดี ม. 112 กว่า 200 คน

“ดิฉันขอเรียกร้องให้ปล่อยนักต่อสู้ทางการเมืองทุกคนเพื่อคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คืนความยุติธรรมให้กับประชาชนและคืนความยุติธรรมให้กับสังคมนี้ โดยด่วนที่สุด ด้วยเหตุผลที่ดิฉันได้กล่าวมาทั้งหมด ดิฉันไม่สามารถฝากอนาคตประชาชนเยาวชนคนหนุ่มสาวในประเทศนี้ไว้ที่พลเอกพลประยุทธ์ จันทร์โอชาต่อไปได้ และดิฉันไม่อาจไว้วางใจให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อแม้อีกเพียงเสี้ยววินาทีเดียว

“ดิฉันขอเรียกร้องให้มีการคืนความยุติธรรมให้แก่ประชาทุกคนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองนับตังแต่รัฐประหารปี 2557 ด้วยกระบวนการที่ไม่ชอบธรรมของพลเอกประยุทธ์เป็นต้นมาไม่ควรมีใครที่ต้องถูกกุมขังไม่ควรมีใครที่ต้องตายหรือย้ายประเทศเพียงเพราะเขาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือแสดงออกที่แตกต่างจากท่านผู้นำหรือเพียงเพราะพวกเขาต้องการต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรมที่มาจากการทำรัฐประหารเพื่อล้มล้างการปกครอง และนั่นคือก้าวแรกและก้าวปกติ คืนความปกตินี้ให้สังคมไทยให้ประชาชนยังชื่อมั่นว่าพวกเราสามารถอยู่ในสังคมนี้ร่วมกันได้ไม่ว่าใครจะมีความคิดความเชื่อ ความฝันที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม

“พลเอกประยุทธ์ทำให้ประเทศนี้ไม่มีนิติรัฐ ทำให้สถาบันตุลาการเสื่อมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ได้รับการยอมรับและได้รับการต่อต้านมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และเพื่อปลดล็อคชนวนระเบิดที่ประยุทธ์สร้างขึ้นมา เราต้องเริ่มต้นด้วยการเอาประยุทธ์ออกไป เปลี่ยนขั้วเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย รับฟังเสียงของทุกคน และนิรโทษกรรมทางการเมืองให้กับนักโทษ และนักต่อสู้ทางความคิดทุกคน”

Tags: , , ,