1

“สมัยเรียน เขาไม่ได้ทำตัวโดดเด่นอะไรเลย ออกจะเงียบๆ ด้วยซ้ำ เพื่อนตั้งฉายาให้ว่า ไอ้ขี้แมว”

2 ปีผ่านไป นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 กองทัพพม่าหรือทัตมาดอว์ ตัดสินใจยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนของอองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) และพาประเทศย้อนถอยหลังสู่ระบอบเผด็จการทหารอีกครั้ง ภายใต้การรัฐประหารของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ดูเหมือนสถานการณ์ในพม่าจะเลวร้ายลงกว่าเดิม

การรัฐประหารครั้งนี้ ทำให้คนหนุ่มสาวและสังคมพม่าแตกเป็นเสี่ยงๆ ประชาชนที่รักในประชาธิปไตยตัดสินใจลุกขึ้นประท้วงสู้ ช่วงแรกเป็นไปอย่างสงบ แต่พลันที่กระสุนจากทางการพม่าลั่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม จับกุมคุมขัง ทรมานอย่างเลวร้าย มีคนเจ็บเสียชีวิตอย่างมาก สิ่งเหล่านี้จึงทำให้คนพม่าและนายทหารผู้ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ตัดสินใจหยิบอาวุธเข้าป่าทำสงครามกลางเมืองอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เพื่อหวังประเทศจะดีขึ้น และแสดงออกถึงการไม่ยอมจำนนต่อทัตมาดอว์

ปัจจุบันมีคนพม่าถูกกองทัพสังหารโหดไปแล้วกว่า 2,940 รายด้วยกัน และมีนักโทษการเมืองถูกคุมขังอย่างเลวร้าย ในเรือนจำที่โหดเหี้ยมติดอันดับโลกอย่างอินเส่ง ถึง 1.3 หมื่นคน นี่เป็นเพียงตัวเลขที่นับกันถึงแค่วันที่ 31 มกราคม 2023 เท่านั้น แต่ก็มีรายงานจากองค์กรอิสระ คาดว่าตัวเลขคนที่ถูกทหารพม่า หรือ ‘ทัตมาดอว์’ ยิงทิ้ง พุ่งสูงกว่า 3 หมื่นรายด้วยกัน

นี่ยังไม่นับว่ามีคนพม่ากว่า 2 แสนคนลอบเข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย เป็นตัวเลขพุ่งสูงกว่า 72% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าเพราะพวกเขาไม่เห็นอนาคตในมาตุภูมิ ที่ถอยหลังและทำให้พวกเขายากจนและลำเค็ญ ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม

สถานการณ์ในประเทศยังเลวร้ายได้มากกว่านี้ เมื่อมิน อ่อง หล่าย ที่ตั้งตัวเป็นผู้กุมบังลังก์เลือด มีอำนาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว จะประกาศภาวะฉุกเฉินต่อไปอีก 6 เดือนจากนี้ จึงคาดว่ากว่าประชาชนคนพม่าจะได้เข้าคูหา กาบัตรเลือกตั้งอีกครั้ง ก็น่าจะเลื่อนไปถึงเดือนสิงหาคม

ชายคนนี้ยังคงกระหายในอำนาจต่อเนื่อง และดูเหมือนเขาจะยังหวง ไม่คิดคืนสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชน แม้สถานการณ์ในประเทศจะสงบราบคาบย่อยยับเพียงใด มิน อ่อง หล่าย ก็ยังไม่คิดถอย ราวกับกำลังทำสงครามในฐานะชายชาติทหารอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ศึกสมรภูมิเพื่อรวมชาติเป็นหนึ่งดังที่เขาหมาย ดูเหมือนจะไม่ง่ายเหมือนการรบกับข้าศึก เพราะมันคือการทำสงครามต่อประชาชน ผู้เสียภาษีให้กับทัตมาดอว์อันโหดเหี้ยม

2 ปีที่อยู่ในอำนาจ เขาล้มเหลวในการรวมชาติเป็นหนึ่ง

ขณะนี้ มิน อ่อง หล่าย กำลังทำสงครามครั้งใหญ่สุดในชีวิต นั่นก็คือการรบกับจิตวิญญาณของคนพม่า

“และดูเหมือน เขาจะไม่ชนะ”

2

ใครเลยจะรู้ว่าลูกชายข้าราชการครู ที่เกิดในเมืองมินบู ตอนกลางของพม่า จะก้าวไปเป็นเผด็จการที่โหดเหี้ยมสุดของโลกได้ พ่อแม่ของมิน อ่อง หล่าย ทำงานเป็นครูที่เมืองทวาย ทางตอนใต้ของประเทศ และเขาใช้ชีวิตวัยเด็กที่เมืองมัณฑะเลย์อันงดงาม

มิน อ่อง หล่าย เรียนมหาวิทยาลัยที่ย่างกุ้ง แต่ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่มคนนี้ คือการเป็นทหารเท่านั้น เขาใช้ความพยายามถึง 3 ครั้งกว่าจะสอบเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยได้

ความแปลกอย่างหนึ่งของกองทัพพม่าก็คือ พวกเขาไม่แบ่งแยกเหล่าทัพขณะเป็นนักเรียนนายร้อย ทุกคนต้องเรียนด้วยกันหมด เพื่อหล่อหลอมความเป็นปึกแผ่น

เป็นที่รู้กันว่ามิน อ่อง หล่าย เป็นคนหิวกระหายในอำนาจอย่างยิ่ง ภายใต้ความแข็งกร้าว นักเรียนนายร้อยมิน อ่อง หล่าย ไม่ได้มาจากตระกูลทหาร หรือชนชั้นนำพม่าแม้แต่น้อย ดังนั้นหากจะอยากก้าวเป็นใหญ่ อาชีพขุนศึก จึงถือเป็นบันไดเดียว ที่จะพาชายคนนี้ไปสู่เกียรติยศที่ฝันใฝ่ได้

เมื่อไม่มีเส้นสายจากตระกูล เขาก็ต้องใช้เส้นของกองทัพในการไต่ไปสู่ชนชั้นนำของประเทศ เพื่อจะได้ควบคุมระบบหรือครองพม่า

เพื่อนร่วมรุ่นหลายคนให้ข้อมูลกับสำนักข่าวนิกเคอิจากญี่ปุ่น โดยขอสงวนชื่อไว้ว่า มิน อ่อง หล่ายจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพม่าในปี 1977 เพื่อนร่วมรุ่นเรียกเขาว่า ‘ไอ้ขี้แมว’

ว่ากันว่าสมญานามนี้มาจากการที่มิน อ่อง หล่าย มักจะสร้างปัญหาให้กับเพื่อนไปทั่ว เปรียบเหมือนขี้แมวที่อยู่ตรงไหนก็เหม็นโฉ่ไปทั่ว

ในกองทัพ ทหารทุกคนถูกปลูกฝังถึงขั้นล้างสมอง ให้เคารพมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการสูงสุด แต่ภายใต้ฉากหน้าแล้ว เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักรบว่า ไม่มีใครชอบเขาแม้แต่คนเดียว

ขณะเป็นนักเรียนนายร้อยนั้น ไอ้ขี้แมวไม่โดดเด่นอะไรเลย ออกจะเป็นคนเงียบๆ ชอบเก็บตัวด้วยซ้ำไป สิ่งหนึ่งที่พอจะสร้างชื่อเสียงในโรงเรียนได้คือ เขาเป็นคนที่ยึดมั่นในระเบียบเอามากๆ

ทัตมาดอว์ปลูกฝังนายทหารอย่างเข้มงวด หากใครเพียงแค่ทำความเคารพ ด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะถูกใบเหลือง และหากใครถูกเตือนว่ากระทำผิดอย่างร้ายแรง ก็จะโดนใบแดง ซึ่งนั่นหมายถึงจะต้องเก็บของออกจากโรงเรียนนายร้อยอันทรงเกียรติไปทันที

เมื่อจบการศึกษา ไอ้ขี้แมวก็เริ่มชีวิตนายทหารกับกองร้อยอาวุธเบาที่ 88  เขาสังกัดเหล่าทหารราบ และสร้างชื่อเสียงจากการปราบปรามชนกลุ่มน้อยในตอนเหนือของพม่า ด้วยความที่เป็นทหารคุมกำลังรบมาโดยตลอด เขาจึงมีผลงานเข้าตาผู้ใหญ่ จนถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางแห่งอำนาจทัตมาดอว์

และนั่นทำให้เด็กหนุ่มลูกครู จากตระกูลชาวบ้านธรรมดา ได้ก้าวสู่การเป็นนายพลมือเปื้อนเลือด ที่รัฐประหารล้มรัฐบาลพลเรือน กลายเป็นผู้นำสูงสุดในพม่า ที่มีแต่คนต่อต้าน จนต้องใช้กำลังเถื่อน อาญาทมิฬ ปราบปรามทุกฝ่ายให้ศิโรราบ

แต่ดูเหมือนภารกิจครั้งนี้จะยากยิ่งกว่าศึกใดๆ ที่มิน อ่อง หล่ายต้องเผชิญมาทั้งหมด

3

ทัตมาดอว์ ถูกปลูกฝังมาว่าพวกเขาคือผู้กอบกู้ชาติพม่า คือผู้ค้ำจุนประเทศนี้ มันเหมือนคำพูดของ ออตโต้ วอน บิสมาร์ก (Otto von Bismarck) รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่รวมชาติเยอรมนีเป็นหนึ่งเดียว ได้กล่าวถึงกองทัพปรัสเซียว่าเป็นกองทัพที่มีชาติ ไม่ใช่ชาติที่มีกองทัพ

กองทัพพม่าก็เช่นกัน พวกเขาแทบจะเป็นรัฐซ้อนรัฐ มีทุกอย่าง ทำธุรกิจหล่อเลี้ยงตัวเอง โดยมีประเทศเป็นส่วนประกอบ และนั่นทำให้ผลประโยชน์ถูกถ่ายเทไปยังนายทหารลำดับบังคับบัญชารองลงมา

สิ่งที่มิน อ่อง หล่ายมี นอกจากความเหี้ยมโหดแล้ว เขายังทำธุรกิจเป็น และรู้เกมการเมืองระหว่างประเทศเป็นอย่างดี เมื่อชาติตะวันตกคว่ำบาตรจากการรัฐประหาร นายพลคนนี้ก็หวนกลับไปปลูกฝังความสัมพันธ์แนบชิดกับรัสเซียและจีนยิ่งขึ้น

เป็นที่รู้กันดีว่า นายพลคนนี้ไม่เคยไว้ใจจีน เพราะกลัวจะมาหาประโยชน์โกยรายได้ในประเทศ ที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่กองทัพพม่าระลึกไว้เสมอคือ พวกเขาถูกขนาบด้วยชาติมหาอำนาจ 2 ชาติ อย่างอินเดียและจีน การจะดำเนินนโยบายอะไร จึงมองทุกฝ่ายเป็นศัตรูกันหมด

เผด็จการคนนี้จึงแสวงหามิตรจากแดนไกลอย่างรัสเซีย ที่ซึ่งเขายกย่อง วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ว่า “เป็นเบอร์ 1 ที่จะทำให้โลกมั่นคง”

พม่ายุคนี้จึงสนิทแนบชิดกับรัสเซียของพระเจ้าซาร์องค์ใหม่อย่างมาก พวกเขาส่งนายทหารสัญญาบัตรจบใหม่ จากกองทัพตัวเองไปฝึกที่รัสเซียกว่า 6,000 นาย

ในเดือนมิถุนายน 2020 มิน อ่อง หล่าย ก็ได้รับเหรียญยกย่องจากกระทรวงกลาโหมรัสเซีย และไม่กี่เดือนต่อมา เขาก็ได้ตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ จากวิทยาลัยการทหารรัสเซีย

ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นนี้ ทำให้พม่าสั่งซื้ออาวุธจากรัสเซียมาอย่างมากมาย นัยหนึ่งก็เพื่อลดการพึ่งพิงทางทหารจากจีน ซึ่งมิน อ่อง หล่าย มองจีนด้วยสายตาไม่ไว้ใจพอๆ กับชาติตะวันตกด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดีในวันตรุษจีน ทางทูตจีนประจำพม่า ได้เชิญผู้นำสูงสุดและภรรยา ไปร่วมงานด้วย ด้วยภาพที่ดูชื่นมื่น จนดูเหมือนว่าเขาจะเดินหมากแบบแยบคาย ไม่ทิ้งรัสเซียและก็ไม่ลืมจีนด้วย

อย่าคิดว่าเผด็จการนั้นโง่เด็ดขาด พวกเขาอาจโหดและเหี้ยม แต่ไม่ได้เบาปัญญา

4

2 ปีผ่านไป หลังการรัฐประหาร โลกที่ปนเปื้อนโควิด-19 และสถานการณ์รัสเซียรุกรานยูเครน ชาติตะวันตกก็หวนกลับมาหาพม่าอีกครั้ง ขัดกับนโยบายคว่ำบาตรที่ประกาศหลังการรัฐประหาร เมื่อ 2 ปีก่อนโดยสิ้นเชิง

โดยข้อมูลในเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนปีก่อน เผยให้เห็นว่าบริษัทใหญ่ๆ ในยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่น มีการใช้โรงงานในพม่าผลิตสินค้า โดยเฉพาะเสื้อผ้ามากถึง 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 1.6 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ถือเป็นตัวเลขที่สูงเอามากๆ

สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าชาติตะวันตกที่ปากบอกยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ออกมาคว่ำบาตรและประณามความเลวร้ายของพม่านั้น ดูเหมือนจะหน้าไหว้หลังหลอก

เสื้อผ้าแบรนด์เนมดังๆ หลายแห่ง ใช้พม่าเป็นโรงงานผลิต โดยกดค่าแรงที่ต่ำลงอย่างโหดเหี้ยมมาก ทำเอาแรงงานพม่าไม่มีทางเลือก ต้องรับค่าแรงรายวันที่ได้เพียง 30 กว่าบาทเท่านั้น และในสถานการณ์ที่ทั้งโลกเจอเงินเฟ้อ คิดดูว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตได้อย่างไร

แบรนด์เสื้อผ้าหลายแห่ง อ้างว่าด้วยระบบโลกาภิวัตน์ พวกเขาจ้างบริษัทย่อยผลิตสินค้า และหลายแห่งใช้แรงงานพม่าผู้น่าสงสารเป็นผู้ผลิต เพียงเพราะไม่มีมาตรการระบุห้ามบริษัทชื่อดังคบค้ากับพม่า

นับเป็นจุดอ่อนของการคว่ำบาตรอย่างมาก มันเป็นช่องโหว่ที่เอื้อให้เกิดการค้ำจุนระบบมิน อ่อง หล่ายด้วย

5

อองซานซูจี ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งตอนนี้ต้องติดคุก ไม่มีใครเห็นหน้า ถูกคุมขังอย่างอนาถา คงจะหมดบทบาททางการเมืองไปแล้ว คนพม่าที่ลุกสู้ก็ต้องเจอการตอบโต้อันโหดเหี้ยมของทัตมาดอว์

ประเทศแห่งนี้คงจะลุกเป็นไฟไปอีกนาน ภายใต้บังลังก์เลือดของมิน อ่อง หล่าย ชายที่เก็บชีวิตส่วนตัวและครอบครัวเป็นความลับ ทุกวันนี้ตัวเขาใช้ที่พักนายกรัฐมนตรีและที่ทำการกระทรวงกลาโหม เป็นบ้าน ภายใต้มาตรการคุ้มกันอย่างเข้มงวด ยังไม่นับเซฟเฮาส์หลายแห่งที่นายพลอาวุโสคนนี้ ใช้เป็นที่ประกาศนโยบายอันแข็งกร้าวในการปกครองประเทศ

การจะเข้าถึงชายคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาอย่างยิ่ง

สิ่งหนึ่งที่นักการทูตตะวันตกเข้าพบนายพลคนนี้ และสัมผัสได้คือเขามีความรังเกียจฝรั่งเอามากๆ ที่สำคัญเขามีความเชื่อเป็นของตัวเอง โดยไม่สนว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเก๊ เช่นอ้างว่าผู้ชุมนุมประท้วงตั้งใจจะแพร่เชื้อโควิด-19 ยังไม่นับความเชื่อไสยศาสตร์ ซึ่งสืบทอดในหมู่นายพล ที่มีพฤติกรรมแปลกๆ มาอย่างยาวนาน เช่นเดินถอยหลังรอบเจดีย์บ้าง มิน อ่อง หล่ายก็เช่นกัน แต่เขามีหมอผี คนทรงประจำของตัวเอง ไม่ใช้ร่วมกับคนอื่น

วิกฤตในพม่าทำให้การปลูกฝิ่นเพิ่มสูงกว่าเดิม จนกลายเป็นแหล่งส่งออกสารตั้งต้นยาเสพติดรายใหญ่ของโลกอีกด้วย

สิ่งที่ชายคนนี้ทำทั้งหมด ตั้งแต่อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา พอมาเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบก็เข่นฆ่าประชาชน ความโหดเหี้ยมของชายคนนี้กลายเป็นที่น่าหวั่นเกรงและน่าขยะแขยงในสังคมพม่าและโลกใบนี้อย่างมาก

นักการทูตคนหนึ่งที่เคยเข้าพบอดีตลูกข้าราชการครู ได้สรุปผลงานของมิน อ่อง หล่าย ต่อสื่อไว้ว่า “ผมไม่เคยเห็นอาชญากรรมที่เลวร้ายในระดับนี้มาก่อน”

และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากฝีมือของชายคนนี้

‘มิน อ่อง หล่าย’

 

อ้างอิง

https://asia.nikkei.com/Spotlight/The-Big-Story/Myanmar-s-iron-fisted-ruler-Min-Aung-Hlaing-fights-to-stay-on-his-throne

https://asia.nikkei.com/Spotlight/Myanmar-Crisis/Myanmar-opium-production-nearly-doubles-to-9-year-high-U.N

https://asia.nikkei.com/Spotlight/Myanmar-Crisis/Myanmar-extends-state-of-emergency-likely-pushing-back-polls

https://asia.nikkei.com/Spotlight/Asia-Insight/Myanmar-economy-hobbled-by-military-rule-despite-garment-boom

https://www.reuters.com/world/asia-pacific/protesters-mark-myanmar-coup-anniversary-junta-due-make-statement-2023-02-01/

https://www.dw.com/en/will-2023-be-the-decisive-year-in-myanmars-civil-war/a-64573032

https://www.voanews.com/a/how-myanmar-is-faring-2-years-after-army-ousted-suu-kyi/6942767.html

https://www.bbc.com/news/world-asia-64481138

Tags: , , , , ,