ข้อดีของการอ่านหนังสือมาตั้งแต่มีโอกาสได้อ่านและได้อ่านต่อเนื่องทำให้คนๆ นั้นมีโอกาสดีมากที่จะค้นพบตัวเอง รู้จักความฝันและความปรารถนาแท้จริงของตนจากประสบการณ์และเรื่องราวอันหลากหลายในหนังสือเหล่านั้น
และนั่นเป็นปัจจัยสำคัญในการที่ทำให้คนๆ หนึ่งเลือก ทาง (THE WAY)ของตัวเอง
การมาทำร้านหนังสืออิสระ เริ่มต้นอาจเป็นการมาสร้างทำและดูแลร้านหนังสือในสวนดอกไม้ซึ่งเป็นความฝันของหญิงสาวคนรัก แต่เมื่อความปรารถนาสูงสุดของผมคือการเขียนหนังสือ ร้านหนังสือและหนังสือก็เป็นบริบทที่สำคัญของนักเขียน
และตลอดเวลาของการทำร้านหนังสืออิสระมา 11 ปี ผมค้นพบสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้ชัดเจนมากในช่วงครึ่งหลังของระยะทางที่ผ่านมา นั่นคือ เวลา
มันมีเวลา 2 ประเภท หนึ่งคือเวลาที่ใช้ไปกับการงานในเรื่องร้าน ไม่ว่าจะเป็นการคัดหนังสือ จัดหนังสือ ขายหนังสือ แนะนำหนังสือ ชงชา ทำกาแฟ สนทนากับลูกค้า รดน้ำต้นไม้ ทำสวน ฯลฯ มันเป็นห้วงเวลาที่รื่นรมย์ เป็นการงานแห่งความรัก ถ้าเปรียบเป็นลมหายใจ ลมหายใจนี้ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ทุกๆ วัน
สองคือเวลาที่จะได้อ่านหนังสือยาวๆ บางทีชื่อเสียงของร้านก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะพลุกพล่านตลอดเวลา นักเขียนหลายคนผิดหวังที่ฝากหนังสือขายในร้านเพราะเขาหวังว่าผลงานของเขาจะผ่านตาผู้คนมากมายตลอดเวลาและมีโอกาสที่จะขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว แต่เขาลืมว่าหนังสือไม่ใช่ข้าวปลาอาหารที่คนเราต้องกินทุกวัน ๆ ละอย่างน้อย 2 มื้อ และร้านหนังสือก็ไม่ใช่ร้านอาหารที่คนทำงานประจำจะต้องฝากท้องไว้อย่างน้อยก็มื้อกลางวัน ที่สำคัญนี่ก็ไม่ใช่ร้านหนังสือในห้าง มันอยู่โดดเดี่ยวข้างทุ่งนาในชุมชนที่ไม่หนาแน่น และต่อให้คนเราอ่านหนังสือทุกวันเราก็ไม่สามารถซื้อหนังสือได้ทุกวัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถอ่านหนังสือจบเล่มทุกวันหรือกำลังซื้อไม่พอ
นั่นทำให้คนขายหนังสืออย่างผมมีเวลาอ่านหนังสือจริงจัง
และไม่ว่าใครก็ตามที่เมื่อลงมือทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเวลาเกิน 10 ปี ต่อให้เขาเป็นคนโง่ขนาดไหนก็ตามก็ย่อม มอง สิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นออก ผมจึงสามารถคาดการณ์ได้ว่าเวลาไหน วันไหน คนชอบจะมาร้าน (รู้กระทั่งว่าคนแนวไหนจะมาเวลาและวันแบบไหน) นั่นทำให้ผมสามารถวางแผนการชีวิตได้ว่าจะทำอะไรช่วงไหนให้มีคุณภาพที่สุดได้
ล่าสุดผมกำลังอ่าน ความจำเป็นยิ่งชีวิตของการต่อต้านเผด็จการ รวมความเรียงคัดสรรของ จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) แปลโดย บัญชา สุวรรณานนท์ จัดพิมพ์โดยสำนักหนังสือใต้ฝุ่น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 พออ่านถึงความเรียงชิ้นที่สองก็ทำให้ผมตื่นเต้นมาก
จอร์จ ออร์เวลล์ เขียน รำลึกถึงร้านขายหนังสือ (BOOKSHOP MEMORIES) ชิ้นนี้ลงในนิตยสาร ฟอร์ตไนต์ลี รีวิว (Fortnightly Review) เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1936
ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งนักเขียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกในศตวรรษที่ 20 อย่างเขาจะเคยทำงานร้านหนังสือ และก็ทำมันในวัย 32 (ผมก็เปิดร้านหนังสือฟิลาเดลเฟียในวัย 32) ทำงานอาทิตย์ละ 70 ชม. (ผมเปิดร้านวันละ 10 ชม. ก็เท่ากับทำงานในร้านหนังสือสัปดาห์ละ 70 ชม.)
“ครั้งหนึ่งผมเคยรักหนังสือจริงๆ คือรักการได้เห็น ได้กลิ่น ได้จับต้อง ผมหมายความว่าถ้าเป็นหนังสือเก่าอย่างน้อยห้าสิบปีขึ้นไป ไม่มีอะไรทำให้ผมพอใจได้มากเท่าการได้เหมาซื้อหนังสือคละกันหลากหลายในราคาหนึ่งชิลลิ่งจากการขายเลหลังตามชนบท หนังสือสภาพโทรมที่เราได้มาโดยไม่คาดว่าจะได้เจอในชุดที่ซื้อเหมามาแบบนั้นมีรสชาติพิเศษ”
ใครบ้างที่รักหนังสือแล้วไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ?
จอร์จ ออร์เวลล์ เข้าทำงานในร้านหนังสือเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1934 ผ่านมา 96 ปี ผมพบว่าบรรยากาศและความเป็นไปต่างๆ ของ ร้านหนังสือที่ออร์เวลล์อยู่และที่ผมทำแทบจะเหมือนกันเลย แม้แต่ความรู้สึกของคนขายหนังสือ
และถ้าจะให้ผมวิเคราะห์และสะท้อนข้อเท็จจริงในการทำร้านหนังสือก็เหมือนกับที่ออร์เวลล์เขียนไว้อย่างตรงไปตรงมานั้นแล้ว เช่นว่า
“หากมีจุดขายดีๆ มาโฆษณาและมีเงินทุนอย่างพอเหมาะ ใครก็ตามที่มีการศึกษาน่าจะสามารถพอหาเลี้ยงชีพได้บ้างอย่างมั่นคงจากร้านหนังสือ ถ้าไม่ได้คิดจะขายหนังสือ “หายาก” แล้วก็นับว่าเป็นอาชีพที่เรียนได้ไม่ยาก เราจะได้เปรียบมากหากเรารู้อะไรเกี่ยวกับข้างในของหนังสือ…”
“หนังสือทำให้เกิดฝุ่นได้มากและอย่างร้ายกาจยิ่งกว่าวัตถุประเภทใดที่มนุษย์เคยคิดค้นขึ้นมา สันบนของหนังสือยังเป็นแหล่งที่แมลงวันหัวเขียวชอบมาใช้เป็นสุสานแดนตาย…” ถ้าเป็นบ้านเราก็คงจิ้งจกใช้เป็นที่ขับถ่ายและวางไข่ แมงมุมใช้เป็นที่ชักไยดักแมลง
พอนึกมาถึงตรงนี้ ผมเกิดความรู้สึกโรแมนติกประหลาดๆ คงเหมือนกับที่ กิล (โอเวน วิลสัน)พระเอกในหนังเรื่อง Midnight in Paris รู้สึกกับปารีสเมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน
เมื่ออ่านความเรียงชิ้นนี้แล้ว ผมยิ่งรักและรู้สึกสนิทกับจอร์จ ออร์เวลล์มากขึ้น
โดยส่วนตัวนั้นผมชอบจอร์จ ออร์เวลล์มาก งานชิ้นแรกของเขาที่ผมอ่านคือ แด่คาทาโลเนีย อ่านเพราะชื่อเรื่องโดยแท้เพราะตอนนั้นไม่รู้จักจอร์จ ออร์เวลล์ คาทาโลเนียก็คือชาวแคว้นคาทาลันซึ่งปัจจุบันก็คือเมืองบาร์เซโลน่าเมืองนี้เป็นฉากหลังของนักฟุตบอลที่ผมชื่นชอบที่สุดในชีวิตคือโยฮัน ครัฟฟ์ (Johannes Cruijff) ที่ไปค้าแข้งที่นั่นหลังจากประสบความสำเร็จสูงสุดกับทีมในประเทศบ้านเกิดด้วยการเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัยติด
โยฮัน ครัฟฟ์ พาปรัชญาการเล่นโททัลฟุตบอล (Total Footbal) ไปเผยแพร่ที่นั่นและก็วางรากฐานให้กับทีมบาร์เซโลน่าจนเกรียงไกรอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ ในยุคสมัยของเขา เขาเป็นดาวเด่น เจิดจรัสจนได้รับสมญาว่า นักเตะเทวดา เขาและทีมชาติเนเธอแลนด์ทำให้ฟุตบอลสไตล์ละตินอเมริกากลายเป็นขนม ทีมอย่างอาร์เจนตินาหรือแม้แต่บราซิลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับโททัลฟุตบอลของพวกเขาก็กลายเป็นทีมดาดๆ
และเมื่ออ่าน แด่คาทาโลเนีย จบลงผมก็หลงรักนักเขียนนามจอร์จ ออร์เวลล์ และตามอ่านงานเขียนของเขา เมื่อเปรียบเทียบออร์เวลล์กับเฮมิงย์เวย์นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะอีกคนที่มีเมืองนี้เป็นฉากหลังและยังร่วมในเหตุการณ์สงครามกลางเมืองเดียวกัน ผมกลับพบว่าโดยหัวใจและความเป็นนักคิดนักเขียนแล้วผมนับถือจอร์จ ออร์เวลล์มากกว่า
และที่สำคัญจอร์จ ออร์เวลล์ มี 4 สิ่งที่เป็นแก่นแกนของชีวิตเหมือนกับที่โยฮัน ครัฟฟ์นักเตะเทวดาของผมมี
หนึ่งคือทั้งสองคนมีแคว้นคาทาลันหรือบาร์เซโลน่าเป็นฉากหลังที่สำคัญของชีวิต
สองคือการสร้างสรรค์ มีนักเขียนกี่คนกันในโลกนี้ที่จะมีงานเขียนติดอันดับหนังสือดีในรอบศตวรรษถึง 2 เล่มเหมือนอย่างจอร์จ ออร์เวลล์ คุณช่วยบอกผมหน่อยว่าอะไรที่ทำให้คนที่มีชีวิตที่ง่อนแง่นทรุดโทรมและปัญหาสุขภาพรุมเร้าแล้วสามารถสร้างสรรค์ผลงานอย่าง แอนิมอล ฟาร์ม และ 1984 ได้
ในส่วนของโยฮัน ครัฟฟ์นั้น เขาอาจไม่ใช่ผู้คิดค้นศาสตร์โททัลฟุตบอลซึ่งมีรูปแบบเฉพาะในการเล่นฟุตบอลที่ผู้เล่นทุกคนในสนามสามารถทดแทนตำแหน่งกันได้หมด ไม่ว่าจะเป็นกองหน้า กองกลาง กองหลัง สามารถยืดหยุ่นตำแหน่งกันได้หมด นักเตะจะไม่มีตำแหน่งตายตัว ไม่ต้องเสียเวลาคอยวิ่งไปกลับตำแหน่งตัวเองกันบ่อยๆ หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ กองหลังสามารถเลี้ยงขึ้นไปยิงประตูได้หรือไม่กองหน้าก็วิ่งลงกลับมายืนอยู่ในแดนหลัง ฉะนั้นผู้เล่นที่อันตรายที่สุดคือผู้ที่ไม่มีบอลโดยมีกลไกที่แสนง่ายคือการให้แล้วไป (Give and Go) โดยจุดเด่นที่สุดคือการสร้างพื้นที่ การเข้าสู่พื้นที่ และการจัดการพื้นที่ ไม่ต่างจากการเป็นสถาปนิกในสนาม
แต่พูดได้ว่าศาสตร์นี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อให้สอดรับกับวิธีการเล่นของนักเตะคนนี้ และที่สำคัญที่สุดคือโยฮัน ครัฟฟ์เป็นผู้ที่หลอมรวมศาสตร์เข้ามาอยู่ในตัวได้พิสูจน์ความยอดเยี่ยมของมันได้ในฐานะนักเตะและถ่ายทอดมันออกมาในฐานะโค้ชเพื่อสร้างนักเตะและระบบนี้ให้คงอยู่สืบมา
สาม – สำนึกและจิตวิญญาณแห่งการต่อต้านเผด็จการและอำนาจนิยม
จอร์จ ออร์เวลล์เป็นฝ่ายซ้าย ชิงชังอำนาจนิยมและระบบเผด็จการฝ่ายขวา แต่เมื่อเขาไปรบเพื่อชาวคาทาลันในสงครามกลางเมืองสเปนแล้วพบว่าขบวนการฝ่ายซ้ายพร้อมที่จะทรยศเป้าหมายตัวเองและยินดีจับมือกับเผด็จการแล้วก็เห็นความเป็นอำนาจนิยมในโครงสร้างฝ่ายซ้าย สิ่งที่เขาทำคือตั้งคำถามกับฝ่ายซ้ายเหมือนที่ตั้งคำถามกับเผด็จการฝ่ายขวาเพื่อให้ขบวนการฝ่ายซ้ายไม่ตกหลุมอำนาจนิยมเหมือนฝ่ายตรงข้าม แต่ผลที่เขาได้รับคือการต้องออกจากฝ่ายซ้าย แต่นั่นก็ทำให้เกิดงานวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าและมีอิทธิพลที่สุด 2 เรื่องคือแอนิมอล ฟาร์ม และ 1984 และถือเป็นคัมภีร์ต่อต้านเผด็จการและอำนาจนิยมทุกยุคทุกสมัย
ส่วนโยฮัน ครัฟฟ์ นั้นปฏิเสธการลงเล่นฟุลบอลโลกรอบสุดท้ายปี 1978 ที่ประเทศอาร์เจนตินา ทั้งที่เขาเป็นซุปเปอร์สตาร์ เบอร์ 1 ของทัวร์นาเมนท์ และทีมชาติเนเธอร์แลนด์ของเขาก็เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ ขณะที่ทุกสายตาทั่วโลกรอคอยการได้ยลลีลาแข้งเทวดาของนักเตะที่ชื่อโยฮัน ครัฟฟ์ แต่อยู่ๆ เขาก็ประกาศไม่ไปร่วมการแข่งขัน ด้วยเหตุผลว่า ไม่อยากไปเตะในประเทศที่มีจอมเผด็จการบริหารปกครองประเทศ
สี่คือบุหรี่ และนี่ถือเป็นสาเหตุการตายอย่างหนึ่งของนักเขียนและนักฟุตบอลที่ทรงอิทธิพลที่สุดผู้หนึ่งในศตวรรษที่ 20 และคงจะข้ามไปอีกอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษและอีกศตวรรษ
แต่สิ่งหนึ่งที่จะติดเป็นตราสัญลักษณ์ของเขาทั้งสองคือการไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ
และนั่นทำให้ คนขายหนังสือ ที่มีเวลาอ่านหนังสือได้เห็นทางและเลือกว่าเขาจะมีจุดยืนในการขายหนังสือแบบไหนในร้านหนังสืออิสระของเขา ซึ่งตรงนี้เองที่ผมมีความรู้สึกและเห็นต่างจากจอร์จ ออร์เวลล์ ที่เขารู้สึกไม่มีความสุขกับการขายหนังสือ นั่นเพราะว่า
“เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมผมจึงไม่อยากทำอาชีพค้าหนังสือไปตลอดชีวิตคือเพราะว่าขณะที่ผมทำอาชีพนี้ผมหมดรักหนังสือไปเลย คนขายหนังสือต้องโกหกเรื่องหนังสือ ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งรังเกียจหนังสือ”
แต่สำหรับผมนั้นต่างออกไป ในขณะที่ผมเป็นคนขายหนังสือก็เป็นเจ้าของร้านหนังสือด้วย และเลือกหนังสือที่ผมชอบและเห็นว่าเหมาะกับร้านเท่านั้นเข้าร้าน ผมจึงชอบหนังสือทุกๆ เล่มในร้านของผม และไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะต้องแนะนำหรือพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือในร้านและมีความสุขที่จะพูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมา
และนี่ก็ได้สะท้อนและหล่อหลอมความเป็นนักเขียนของตัวเองด้วย.