แพทริกกับอาร์ตเป็นเพื่อนรักกันและเติบโตด้วยกันจากโรงเรียนกินนอน แม้กระทั่งภาพฝันก็เป็นภาพเดียวกัน เมื่อทั้งคู่หวังอยากไปให้ไกลบนเส้นทางของการเป็นนักกีฬาเทนนิสอาชีพ และดูเหมือนหนทางจะไปได้สวยเมื่อทั้งสองคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันประเภทคู่ระดับเยาวชน
หากจะมีจุดตัดบางอย่างก็คงเป็นเรื่องที่ว่า อาร์ตยอมรับกลายๆ ว่าฝีมือแพทริกเหนือกว่าเขา ด้วยการอ้อนวอนขอให้แพทริก ‘อ่อนข้อ’ ให้เขาบ้างยามต้องลงแข่งขันประเภทชายเดี่ยว (ด้วยข้ออ้างแบบเด็กๆ อย่างคุณยายที่บ้านกำลังป่วย) และแพทริกดูเหมือนจะไม่จริงจังกับความคิดนี้นัก ทว่า จุดเปลี่ยนจริงๆ ของทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาเจอกับ ทาชิ ดันแคน นักเทนนิสหญิงที่ถือเป็นมือวางอันดับหนึ่งของวงการ และภายใต้ฉากหน้าทีเล่นทีจริงของคนหนุ่มสาวทั้งสาม รอยแยกเล็กๆ ก็ถือกำเนิดขึ้นบนความสัมพันธ์ระหว่างอาร์ตกับแพทริก
มองเผินๆ Challengers (2024) หนังยาวลำดับล่าสุดของ ลูกา กัวดัญญีโน คนทำหนังชาวอิตาลีจาก A Bigger Splash (2015), Call Me by Your Name (2017) และ Suspiria (2018) ก็ดูเป็นเรื่องรักสามเส้า เราสามคนตามขนบหนังโรแมนติกดรามาทั่วไป หากแต่เมื่อมันตกอยู่ในมือคนที่เล่าเรื่องแสนแม่นยำอย่างเขา ความสัมพันธ์ของทาชิ แพทริก และอาร์ตจึงซับซ้อนกว่านั้น
เพราะตัวหนังไม่เพียงว่าด้วยความสัมพันธ์และความรักที่เกิดขึ้นของทั้งสามคน หรือแม้แต่ ‘ความรู้สึก’ บางอย่างที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในเนื้อตัวแพทริกกับอาร์ต แต่ยังชวนสำรวจตัวตนของตัวละครผ่านกีฬาเทนนิส เพราะหลังจากนั้นเมื่อหนังตัดสลับเข้าสู่ช่วงชีวิตที่ตัวละครกลายเป็นผู้ใหญ่วัย 31 ปี คนดูก็จะพบว่า ทาชิอยู่ในสถานะโค้ชส่วนตัวและเมียของอาร์ต อุบัติเหตุและการบาดเจ็บรุนแรงในอดีตยังส่งผลให้ความฝันการเป็นนักเทนนิสอาชีพของเธอแหลกสลายลง ทาชิจึงอยู่ได้ด้วยการที่อาร์ตผู้เป็นคนรักยังลงแข่งกีฬาอย่างสม่ำเสมอ ความทุกข์ใจเดียวของเธอคือการที่อาร์ตฟอร์มตกลงทุกวันอย่างที่เธอหาสาเหตุไม่ได้
ในทางกลับกัน อาร์ตที่เป็นพ่อคนเริ่มฝันเห็นอนาคตที่แตกต่างไปจากนี้ ร่างกายเขาอาจจะโรยราจากการลงแข่งขันมานานหลายปีก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องคือการที่เขา ‘หมดใจ’ กับเทนนิสอยู่กลายๆ การต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกายอย่างหนักและมีวินัยต่อชีวิตทุกลมหายใจทำให้เขาหมดแรงจะเดินหน้าต่อ และถึงที่สุดก็อาจแค่อยากใช้ชีวิตในฐานะนักเทนนิสคนดัง อยู่ได้ด้วยเงินมหาศาลจากโฆษณาและการทำมูลนิธิ ใช้ชีวิตสบายๆ และออกสื่อบ้างตามต้องการ คู่ขนานกันไปนั้นคือแพทริกซึ่งกลายเป็นคนจนกรอบในวัยผู้ใหญ่ ทั้งยังเจ้าชู้ไม่เลือกหน้าและไม่เลือกเพศ ทั้งยังดูเหมือนว่าเหตุผลเดียวที่เขาวาดลวดลายอยู่ในสังเวียนเทนนิสก็แค่เพื่อหาเงินก้อนเล็กๆ มายังชีพไปเรื่อยๆ เท่านั้น
ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสามผูกพันแนบแน่นกับเทนนิสและการโบยตีตัวเองในฐานะนักกีฬาอาชีพ ซึ่งหากไม่ใช่เพราะฝีมือการกำกับของกัวดัญญีโน ก็มีโอกาสที่มันจะกลายเป็นหนังรักสามเส้าเฉิ่มเชยทั่วไปเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมันอยู่ในมือคนทำหนังที่ช่ำชองในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์และความโหยหา Challengers จึงเป็นทั้งหนังกีฬาและหนังโรแมนติก กับดนตรีประกอบแสนอิเล็กทรอนิกส์แบบที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินในหนังรักจากฝีมือของคู่หูจากวง Nine Inch Nails อย่าง เทรนต์ เรซนอร์ และอัตติคัส รอสส์ รวมทั้งงานภาพที่เรียกได้ว่า องก์สุดท้ายนั้น ‘บ้าพลัง’ และท้าทายจนไม่อาจละสายตาของ สยมภู มุกดีพร้อม
“กีฬาคือการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ และผมคิดว่าความงามของเรือนร่างก็ไม่จำเป็นต้องหมายถึงความอีโรติกเสมอไป ความงามของร่างกายอาจหมายถึงความเป็นมนุษย์ อาจหมายถึงความตื่นเต้นและอาจหมายถึงความเป็นไปได้ในการเคลื่อนไหวต่างๆ หรือความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองให้เป็นไปดังที่ต้องการ ผมว่ามันมีวิธีที่เรามองเรือนร่างมากกว่าให้เป็นแค่เรื่องอีโรติก” กัวดัญญีโนกล่าว “ผมเองไม่ใช่คนดูเทนนิสตัวยง ว่าไปก็ไม่เคยดูด้วยซ้ำเพราะสำหรับผมแล้วมันน่าเบื่อ”
อย่างไรก็ดี กล่าวสำหรับหนังรักสามเส้า การไม่เอ่ยถึง Jules and Jim (1962) คงเป็นเรื่องบาปมหันต์ เพราะถือเป็นหนึ่งในหนังตระกูล French New Wave ที่เต็มไปด้วยวิธีเล่าเรื่องและภาษาภาพยนตร์ใหม่ๆ จาก ฟร็องซัวส์ ทรุฟโฟต์ คนทำหนังชาวฝรั่งเศส ดัดแปลงมาจากหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติปี 1953 ของ อองรี ปิแอร์ร โรเช นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้เป็นหนึ่งในหัวขบวนกลุ่มล้ำยุค (Avant-garde) ในปารีส เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟรันซ์ เอสเซล นักเขียนชาวเยอรมัน และเฮเลน กรุนด์ ซึ่งในเวลาต่อมาแต่งงานกับเอสเซล
และทรุฟโฟต์ในวัย 30 ปี ก็บังเอิญเจอเข้ากับงานเขียนของโรเช ภายหลังเขาหยิบมาดัดแปลงเป็นเรื่องราวของ จูลส์ (ออสการ์ แวร์เนอร์) นักเขียนหนุ่มขี้อายชาวออสเตรียที่สนิทชิดเชื้อกับ จิม (อองรี แซร์ร) หนุ่มน้อยชาวฝรั่งเศส ทั้งคู่สานสัมพันธ์กับหญิงสาวมากหน้าหลายตา หากแต่มีคนเดียวที่ต้องตาต้องใจทั้งคู่คือ แคเธอรีน (ฌาน มอโรว์) ซึ่งในเวลาต่อมาคบหากับจูลส์ พร้อมกันกับที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้และทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสามลง
ย้อนกลับไปในเวลานั้น มีหนังรักไม่มากนักที่นำเสนอตัวละครหญิงให้เป็นคนรักอิสระเสรี และไม่ยึดติดกับความสัมพันธ์ใดความสัมพันธ์หนึ่ง ยิ่งกับหนังรักที่ตามขนบแล้วตัวละครต้องบูชารักเดียวตลอดไป
การที่ตัวละครหญิงอย่างแคเธอรีนดูไม่ยึดถือแนวคิดนี้และสำรวจภาวะภายในตัวเองผ่านความสัมพันธ์ ยิ่งทำให้ Jules and Jim ถูกพูดถึงอย่างมากในแง่การนำเสนอตัวละครและภาวะความอัดอั้นที่ผู้คนต้องเผชิญในเวลานั้น ทั้งในเส้นเรื่องที่พูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 และเวลาออกฉายของหนังที่สงครามเย็นกำลังก่อตัว สอดรับกับการมี ‘จิตวิญญาณเสรี’ ของแคตเธอรีนที่รับกับยุคสมัยแห่งการต้านสงครามในตะวันตกเวลานั้น
ทั้งนี้ Jules and Jim ส่งอิทธิพลต่อคนทำหนังรุ่นหลังๆ มหาศาล โดยเฉพาะ มาร์ติน สกอร์เซซี ผู้กำกับชาวอเมริกันที่ออกปากว่า GoodFellas (1990) หนังมาเฟียของเขาได้รับอิทธิพลมาจากภาษาภาพและการเล่าเรื่องของทรุฟโฟต์ ตลอดจนคนทำหนังในขบวน French New Wave ทั้งหลาย ไม่ว่าจะการใช้วอยซ์โอเวอร์เป็นฉากเปิดเรื่อง, การตัดต่อแบบรวดเร็วและการแช่ภาพนิ่งเพื่อดึงอารมณ์คนดู
Pearl Harbor (2001) ถือว่าเป็นหนังรักสามเส้าอีกเรื่องที่เดินตามรอยขนบการเป็นหนังโศกของคนสามคนโดยไมเคิล เบย์ ทั้งยังทำเงินไปได้มหาศาลถึง 449 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้าง 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประทับตรานักแสดงหนุ่มวัย 23 ปีในเวลานั้นอย่าง จอช ฮาร์ตเน็ตต์ ให้เป็นนักแสดงขวัญใจคนดูเช่นเดียวกับเคต เบ็คคินเซล ส่วนเบน แอฟเฟล็ก ที่ประกบคู่กันในเรื่องนั้นดังระเบิดระเบ้อมาแล้วจากการคว้ารางวัลเขียนบทยอดเยี่ยมใน Good Will Hunting (1997) ร่วมกันกับ แมตต์ ดามอน แถมยังแสดงหนังทำเงินเรื่องก่อนหน้าของเบย์มาแล้วอย่าง Armageddon (1998)
หนังว่าด้วยเรื่องของสองเพื่อนสนิท ราฟ (แอฟเฟล็ก) และแดนนี (ฮาร์ตเน็ตต์) ที่เติบโตขึ้นมาในไร่กว้างและฝันอยากเป็นคนขับเครื่องบินมาโดยตลอด กระทั่งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่างกรายเข้ามา ทั้งสองที่เติบโตเป็นชายหนุ่มสมัครเข้าเป็นทหาร ท่ามกลางความขลุกขลักเนื่องจากราฟมีปัญหาการอ่าน จนแดนนีต้องเสนอตัวช่วยให้เพื่อนผ่านเกณฑ์ทหาร หากแต่ก็ไม่พ้นสายตาจับผิดของ เอฟลีน (เบ็กคินเซล) พยาบาลสาวสวยที่ในที่สุดก็หลับตาอนุญาตให้ราฟผ่านเกณฑ์ ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองกลายเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันในกองทัพ มีเพียงแดนนีที่เฝ้ามองเรื่องราวเหล่านี้อย่างเงียบเชียบ และซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ในใจ
ทว่าการปะทะกันระหว่างกองทัพอากาศสหรัฐฯ กับกองทัพอากาศของฝั่งเยอรมนีทำให้ราฟหายตัวสาบสูญ ทางการคาดเดาว่า เขาน่าจะเสียชีวิตแล้วจากการสู้รบ ทิ้งให้เอฟลีนเศร้าสร้อยและเจ็บปวด คนเดียวที่คอยเยียวยาเธอได้คือแดนนีซึ่งเสียใจไม่แพ้กัน และในเวลาต่อมานั้นเองที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาข้ามเส้นจากการเป็นเพื่อน อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ราฟปรากฏตัวขึ้นในกองทัพเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ตายตามที่ถูกคาดเดา
ตามประสาหนังของเบย์ เรื่องราวในหนังเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ตัวละครต่างตกหลุมรักกันและกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากแต่ก็จนปัญญาจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า เบย์เข้าใจและวางให้หนังทั้งเรื่องเดินตามขนบของหนังดรามาโรแมนติกโดยไม่พยายามทำให้เรื่องราวซับซ้อน สงครามเป็นเพียงฉากหลังที่มีหน้าที่เป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวละครพลัดพราก หรือแม้แต่ตายจากกัน และเดินเรื่องโดยอาศัยเสน่ห์อันเหลือล้นของนักแสดงนำทั้งสาม กับเพลงประกอบสุดตราตรึงอย่าง There You’ll Be โดยเจ้าแม่เพลงคันทรี่ เฟธ ฮิลล์
อย่างไรก็ตาม ภายหลังหนังออกฉายไปแล้วราว 20 ปี เบ็คคินเซลออกมาเล่าถึงประสบการณ์การทำงานกับเบย์ที่ชวนเวียนหัวที่สุด เมื่อเขาสั่งให้เธอลดน้ำหนัก (แม้เธอจะผอมอยู่แล้ว) ไม่นับรวมที่เธอรู้มาจากแอฟเฟล็กว่า เบย์สั่งให้เขาไปจัดฟันเสียใหม่เพื่อให้ดูดีขึ้น (ส่วนเบย์เล่าถึงเรื่องนี้หน้าตาเฉยว่า “เราหมดเงินไปกับค่าทำฟันให้เบนราวๆ 2 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ บอกเลยว่าหมอนี่เกลียดเรื่องนี้มากๆ”) ส่วนฮาร์ตเน็ตต์นั้นไม่วายถูกเบย์วิพากษ์วิจารณ์ทั้งเรื่องว่า เป็นชายหนุ่มยิ้มสวยที่ไม่ช่างยิ้มเอาเสียเลย!
ปิดท้ายด้วย Burning (2018) หนังร่วมทุนสร้างสองสัญชาติ (เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น) สุดเข้มข้นของ ลี ชางดง ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่น ซึ่งต้นฉบับนั้นว่าด้วยเรื่องชายสองหญิงหนึ่งที่นั่งฟังดนตรีคลาสสิก ดื่มไวน์ และสนทนากันอยู่ในที่พัก ชายคนหนึ่งบอกว่า งานอดิเรกของเขาคือการไล่เผาโรงนาร้าง และไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวได้หายตัวไป
เรื่องสั้นที่รุ่มรวยด้วยรสนิยมชนชั้นกลางและความว้าเหว่แบบมูราคามิ ดัดแปลงเป็นหนังว่าด้วยชนชั้นและการเมืองเต็มขั้นโดยชางดง จงซู (ยู อาอิน) ชายหนุ่มชนชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ในบ้านย่านชนบทไกลปืนเที่ยง วาดฝันอยากเป็นนักเขียนและมีงานตีพิมพ์สักเล่ม เขาบังเอิญเจอกับ แฮมี (จอน จงซอ) เพื่อนสาวที่เขารู้จักสมัยประถม เธอทำงานแจกใบปลิวในย่านที่เขาเดินผ่าน แฮมีบอกเขาว่าเธอกำลังเดินทางไปแอฟริกา และไหว้วานให้เขาช่วยไปยังห้องเธอ เพื่อให้อาหารแมวแก่ของเธอในช่วงที่เธอไม่อยู่ และก่อนหน้าที่เธอจะออกเดินทางนี่เองที่ทั้งสองมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน หลังจากนั้นจงซูแวะเวียนไปให้อาหารแมวที่ห้องของเธอ แต่เขาไม่เคยเห็นแมวที่ว่าเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลังการเดินทางจบลง แฮมีกลับมาพร้อม เบน (สตีเฟน ยอน) ชายหนุ่มรูปหล่อที่เธอรู้จักจากสนามบินไนโรบี เบนร่ำรวยและแสนสุภาพ เขามักเชิญชวนจงซูกับแฮมีไปที่อะพาร์ตเมนต์หรูของเขาซึ่งตั้งอยู่ในเขตใจกลางเมืองเพื่อปาร์ตี้ ดื่มกินกับเพื่อนผู้ร่ำรวยของเขาตลอดเวลา เบนไม่เคยแสดงท่าทีเหยียดหยามต่อสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่าของจงซูและแฮมี หากแต่มีบางสิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้น หรือกล่าวให้ชัด สำหรับจงซู สายตาที่เบนมองเขาและแฮมีนั้นเป็นเสมือนตัวตลกหรือของแปลกที่หาดูได้ยากในสังคมที่เบนอยู่
กระทั่งวันหนึ่ง เบนบอกให้จงซูฟังว่างานอดิเรกของเขาคือไล่เผาโรงนาร้าง พร้อมกันกับที่อยู่ดีๆ แฮมีก็หายตัวไป จงซูเริ่มเฝ้าระวังและออกสำรวจโรงนาร้างทุกแห่ง ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็พยายามติดต่อแฮมีแต่ก็ไม่พบเธอ ผู้ต้องสงสัยเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือเบนซึ่งมีท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว หากแต่ด้วยความนิ่งเนิบเช่นนี้ กลับยิ่งชวนให้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกบางประการของเบน
จะว่าไป Burning ก็อาจไม่ใช่เรื่องรักสามเส้าเสียทีเดียว เพราะแม้จงซูจะรักแฮมีสุดหัวใจ หากแต่ก็ตอบไม่ได้แน่ชัดว่าเบนรู้สึกเช่นนั้นด้วยหรือไม่ หรือแม้แต่ตัวแฮมีเองรู้สึกเช่นไรกับเบน (และจงซู) สำหรับเบน แฮมีกับจงซูอาจเป็นแค่ของแปลกหรือของเล่นที่เขาไม่มีโอกาสได้พบเจอบ่อยนัก และไม่ได้มีความหมายอื่นใดมากกว่านั้น ซึ่งนี่เองที่ทำให้เรื่องสั้นของมูราคามิที่เดิมทีเป็นเรื่องชนชั้นกลางค่อนไปทางบน มีน้ำหนักเรื่องการเมืองเข้ามา เมื่อชางดงสอดเอาบริบททางสังคมเข้าไปด้วย จงซูและแฮมีคือคนที่เข้าไม่ถึงทรัพยากรของรัฐ แม้จะหายตัวไปก็ไม่มีใครออกตามหา
ในทางกลับกัน ตัวละครที่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างอบอุ่นจากรัฐอย่างเบนซึ่งเป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง เห็นทุกเรื่องเป็นแค่สวนสนุกให้ตัวเองกระโจนลงไปเล่นเพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีวันได้รับอันตราย เขาอาจไม่ได้ผูกพันใดๆ กับใครไม่ว่ากับจงซูหรือแฮมี และเห็นเพียงแค่ตัวเองอยู่ในสมการของสามเส้านี้เท่านั้น
Tags: หนัง, ภาพยนตร์, หนังรัก, People Also Watch, รักสามเส้า, หนังรักสามเส้า, Challengers