วันที่ 14 ตุลาคม 2516 นับเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางการเมืองไทย หลังจากการลุกฮือของคนหนุ่มสาว ทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเรือนแสน ประท้วงกดดันให้ จอมพล ถนอม กิตติขจร, จอมพล ประภาส จารุเสถียร และพันเอก ณรงค์ กิตติขจร ผู้ได้ฉายาว่า ‘สามทรราช’ ปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง 13 รายที่ถูกจับกุมฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่ทหารและตำรวจกลับใช้อาวุธหนักปราบปรามผู้ประท้วง จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย บาดเจ็บอีกนับร้อยราย และสูญหายเป็นจำนวนมาก 

นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2501 ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารเรื่อยมา หลังจาก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรม จอมพลถนอมก็เข้ามาสืบทอดอำนาจต่อในปี 2506 ในห้วงเวลานั้นคนหนุ่มสาวต่างเติบโตขึ้นในบรรยากาศการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ​ จึงเริ่มมีการตั้งคำถามต่อการเมืองการปกครองของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สืบทอดอำนาจ หรือชนชั้นนำของสังคม เช่น กลุ่มทหาร โดยเฉพาะในช่วงปี 2512-2515 ที่คนรุ่นใหม่ตามสถาบันการศึกษาต่างออกมามีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางการเมืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมถึงการก่อตั้งศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) 

สำหรับเหตุการณ์อันนำไปสู่การเรียกร้องรัฐธรรมนูญ เริ่มต้นตั้งแต่จอมพลถนอม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำการรัฐประหารตัวเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 และปกครองประเทศด้วยธรรมนูญการปกครองอาณาจักร พ.ศ. 2515 โดยให้อำนาจเต็มมือกับรัฐบาล เช่น มาตรา 21 ที่กำหนดให้นายกฯ สั่งการอย่างไรก็ได้ ทั้งนี้ธรรมนูญดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้ชั่วคราวเท่านั้น ทว่ารัฐบาลกลับไม่เร่งรีบและใส่ใจกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้น 

อีกชนวนเหตุการณ์หนึ่งคือ การพบซากสัตว์ป่าจากอุทยานภายในเฮลิคอปเตอร์ทหารซึ่งตกที่จังหวัดนครปฐม ในเดือนเมษายน 2516 โดยจอมพลถนอมอ้างว่า เฮลิคอปเตอร์ลำนี้ออกปฏิบัติภารกิจลับเกี่ยวกับความมั่นคง และรักษาความปลอดภัยแก่ นายพล เน วิน (Ne Win) นายกฯ เมียนมา ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ส่วนซากสัตว์ที่พบบนเครื่องบินนั้นเป็นของผู้อื่นฝากมา คำแก้ต่างเช่นนี้นำไปสู่การตามหาความจริงของ ศนท.โดยออกหนังสือชื่อ บันทึกลับจากทุ่งใหญ่ ที่มีเนื้อหาเปิดโปงความจริงกรณีล่าสัตว์ทุ่งใหญ่ ต่อด้วยหนังสือ มหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำตอบ ซึ่งเป็นเหตุให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงจำนวน 9 ราย ถูกคัดชื่อออกจากมหาวิทยาลัย 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มปลุกกระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญภายในกลุ่มนักวิชาการ นักการเมือง นักคิด นักเขียน นิสิต และนักศึกษา จำนวน 20 ราย ด้วยวิธีเดินแจกใบปลิวและหนังสือ อ้างถึงใจความในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ซึ่งส่งเสียงถึงรัฐบาลเกี่ยวกับสาเหตุที่ทรงสละราชสมบัติ ใจความว่า 

“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอํานาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอํานาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อํานาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร”

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตํารวจนครบาลและสันติบาลจึงเข้าจับกุมสมาชิกกลุ่มจำนวน 11 ราย พร้อมตั้งข้อหามั่วสุมชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 ราย ก่อนจะมีการประกาศจับ ก้องเกียรติ คงคา นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และไขแสง สุกใส อดีต สส.จังหวัดนครพนม โดยมีข้อกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการแจกใบปลิว จนทำให้มีผู้ถูกจับทั้งหมด 13 ราย

เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้นักศึกษาและประชาชนจำนวนมาก จนนำไปสู่การชุมนุมใหญ่อย่างสันติวิธีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ระหว่างวันที่ 9-12 ตุลาคม และประกาศให้รัฐบาลปล่อยบุคคลทั้ง 13 ราย ก่อนเวลาเที่ยงของวันที่ 13 ตุลาคม อย่างไรก็ดีเมื่อถึงวันที่กำหนดกลับยังไม่มีการตอบรับจากทางรัฐบาล จึงมีการประกาศเดินขบวนครั้งใหญ่ในวันเดียวกัน

จุดเริ่มต้นของขบวนประท้วงอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก่อนเดินไปตามถนนราชดำเนินและลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาและมีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วม ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า ในวันนั้นน่าจะมีฝูงชนกว่า 4 แสนรายทั่วถนนราชดำเนิน

การประท้วงในวันที่ 13 ตุลาคมมีการเตรียมการป้องกันรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และมีตัวแทนของ ศนท.เข้าพบกับจอมพลประภาส เพื่อเจรจาข้อเรียกร้อง ก่อนรัฐบาลจะยอมรับข้อเสนอของ ศนท. โดยยอมปล่อยผู้ต้องหาและเตรียมประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ในปีต่อไป ตัวแทน ศนท.จึงขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในช่วงเย็น ขณะที่ผู้ชุมนุมบางส่วนสลายตัว แต่ก็ยังมีบางส่วนปฏิเสธ 

อย่างไรก็ดีในช่วงหัวค่ำกลับเกิดความโกลาหลขึ้น เมื่อมีความพยายามสลายการชุมนุมของประชาชนเรือนแสนที่อยู่เต็มท้องถนน ท่ามกลางข่าวลือต่างๆ เช่น จะมีนักเรียนใช้อาวุธร้ายแรง 

เวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษาและหัวหน้าปฏิบัติการเดินขบวน จึงสั่งเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมไปยังสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เพื่อขอพึ่งพระบารมี จนในช่วงกลางดึกถึงเช้าวันที่ 14 ตุลาคม กลุ่มผู้ชุมนุมก็รวมตัวกันเต็มหน้าพระราชวังดุสิต และในช่วงเวลา 05.00 น. ก็เริ่มมีการสลายการชุมนุม

ตำรวจเริ่มต้นปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง ก่อนที่สถานการณ์จะเริ่มบานปลายตลอดทั้งวัน โดยฝั่งรัฐบาลมีการระดมรถถัง เฮลิคอปเตอร์ และทหารราบ เพื่อช่วยการปฏิบัติการของตำรวจ เกิดการปะทะกันตลอดสายของถนนราชดำเนินและบางลำภู

ในช่วงเย็นวันนั้น จอมพลถนอมประกาศลาออกจากนายกฯ ก่อนที่ต่อมาในราวหัวค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสผ่านทางวิทยุและโทรทัศน์ ความตอนหนึ่งว่า “วันนี้เป็นวันมหาวิปโยค…เกิดการปะทะกัน และมีคนได้รับบาดเจ็บ ความรุนแรงได้ทวีขึ้นทั้งพระนคร ถึงขั้นจลาจล… มีคนไทยด้วยกันต้องเสียชีวิต” และทรงแต่งตั้ง ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกฯ คนใหม่

อย่างไรก็ตาม ในคืนนั้น จอมพลถนอมในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด กลับออกแถลงการณ์ว่า มีผู้นำลัทธิอื่นมาใช้ล้มการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และให้ไฟเขียวกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการปราบปรามผู้ชุมนุมต่อไป

เมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ 15 ตุลาคม แม้มีการปราบปรามอย่างรุนแรง แต่ก็มีประชาชนออกมาเข้าร่วมการต่อสู้เป็นจำนวนมากขึ้น รวมถึงการลุกฮือในต่างจังหวัดคู่ขนานไปกับในกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันในกองทัพทั้งทหารและตำรวจก็เริ่มมีความเห็นแย้งต่อการใช้ความรุนแรง ทำให้ ‘คณาธิปไตยทั้งสาม’ คือ ถนอม ประภาส และณรงค์ ต้องตัดสินใจลี้ภัยออกนอกประเทศ และมีประกาศสู่สาธารณชนในช่วงเย็น เหตุการณ์ต่างๆ จึงสงบลง

ท้ายที่สุดมีผู้เสียชีวิต 77 ราย บาดเจ็บ 857 ราย และอาคารริมถนนราชดำเนินเสียหายหลายหลัง 

เหตุการณ์ในวันนี้ถูกเรียกว่า ‘วันมหาวิปโยค’ และมีการก่อสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม 2516 ขึ้นที่สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง กระทั่งในปี 2541 จึงมีการเปลี่ยนให้วันที่ 14 ตุลาคมของทุกปีเป็น ‘วันประชาธิปไตย’

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ก็ยังมีเรื่อง ‘ลึกลับ’ อีกมาก เพราะการที่ประชาชนจะล้ม ‘อำนาจรัฐ’ ได้นั้น ย่อมมี ‘มือที่มองไม่เห็น’ อื่นๆ เข้ามาช่วยในการล้ม แน่นอนว่ามือที่มองไม่เห็นนี้เป็นตัวแสดงผ่านนายทหารในกองทัพอีกขั้วที่ต้องการล้มระบอบ 3 ทรราช

กลับกันถ้าลองฟังประวัติศาสตร์จาก ‘ผู้แพ้’ อย่างฝั่งจอมพลถนอม เรื่องของวันนั้นจะเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดบรรดานายทหารที่หยั่งรากลึก สืบทอดอำนาจกันมาต่อเนื่อง จึงแพ้ง่ายๆ แล้วภายใต้เหตุการณ์ชุลมุน ตั้งแต่หน้าสวนจิตรลดา ในช่วงเช้าวันที่ 14 ตุลาคม จนถึงพระราชดำรัส ‘วันมหาวิปโยค’ ของรัชกาลที่ 9 ในช่วงค่ำ ในมุมมองของ ‘ผู้แพ้’ นั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วมี ‘ตัวละคร’ ใดอยู่หลังฉากบ้าง

Tags: , , , , ,