ย้อนกลับไปในวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 ยาน Apollo 11 ได้ลงจอดบนดวงจันทร์ และมนุษย์คนแรกที่ได้ชื่อว่าประทับรอยเท้าของมนุษยชาติเอาไว้บนพื้นผิวดวงจันทร์ ก็คือ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstorng) พร้อมหล่นวาทะสุดคลาสสิก ‘ก้าวเล็กๆ ของชายคนหนึ่ง แต่คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ’
และถัดจากจากนีล อาร์มสตรอง มนุษย์อวกาศคนที่สองที่ได้ลงเหยียบดวงจันทร์ คือ บัซ อัลดริน (Buzz Aldrin) เขาบรรยายสภาพรอบตัวตอนนั้นว่าเป็นความอ้างว้างที่ยิ่งใหญ่ โดยใช้เวลาเดินบนดวงจันทร์ไปทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงกับอีก 36 นาที
ซึ่งช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี่เอง ได้ทำให้นาฬิกาโคโนกราฟที่โด่งดังที่สุดในโลกรุ่นหนึ่งอย่าง Omega Speedmaster กลายเป็นเรือนเวลาแห่งประวัติศาสตร์ไปด้วย ในฐานะนาฬิการุ่นแรกที่ถูกสวมใส่ลงบนดวงจันทร์ เพราะ Buzz Aldrin เป็นนักบินอวกาศที่ใส่ Omega Speedmaster ลงไปเดินเล่นบนดวงจันทร์ (ซึ่งจริงๆ นีล อาร์มสตรอง ก็ใส่ แต่เขาถอดมันเอาไว้ที่ยานสำรวจระหว่างการสำรวจดวงจันทร์)
การลงเหยียบบนดวงจันทร์ของนีล อาร์มสตรองและ บัซ อัลดริน คือการเดินทางที่เปลี่ยนโฉมหน้าของมวลมนุษยชาติ พร้อมกับสร้างตำนานบทใหม่ให้กับนาฬิกา Omega Speedmaster มาถึงทุกวันนี้
นาฬิกาที่ถูกเลือก
ความข้องเกี่ยวระหว่างนาฬิกา Omega Speedmaster และโครงการ Apollp 11 กับการออกไปนอกโลก เพื่อไปสำรวจดวงจันทร์นั้น ต้องย้อนกลับไปในปี 1964 หรือห้าปีก่อนหน้าจะปล่อยยานเหนือท้องฟ้า โดยนาซา (Nasa) มีการคัดเลือกนาฬิกาที่จะให้มนุษย์ไปใช้งานบนอวกาศ ทำให้ Deke Slayton ผู้อำนวยการแผนก Flight Crew Operations ได้ออกเอกสารไปยังผู้ผลิตนาฬิกาหลายรายทั่วโลก เพื่อบอกว่าเขากำลังมองหานาฬิกาข้อมือโครโนกราฟที่แข็งแรง ทนทาน จับเวลาได้แม่นยำ แม้จะอยู่ในสภาพสูญญากาศก็ตาม
ซึ่ง Omega ก็ได้ส่งนาฬิกาเข้าร่วมด้วยเช่นกัน แต่ต้องผ่านการทดสอบที่หินสุดๆ โดยทดสอบตั้งแต่อุณหภูมิสุดขั้ว สภาวะสูญญากาศ ความชื้น การกร่อน การกระแทก การสั่นสะเทือน การเร่ง และความดัน เป็นต้น ส่วนผลการทดสอบปรากฎว่า Omega Speedmaster ผ่านด่านทดสอบทั้งหมด ทนความร้อนที่อุณหภูมิ 93° -18° เซนติเกรด
ด้วยเหตุนี้ทำให้นาฬิกา Omega Speedmaster ได้รับเลือกจากนาซ่าให้นำไปใช้ในภารกิจดังกล่าว และได้รับการประกาศว่าเป็น ‘Flight Qualified for all Manned Space Missions’ เมื่อวันที่ 1 มีนาคมปี 1965
ฉลองเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกสู่ครบรอบ 50 ปี
ระยะเวลา 4 เดือนหลังจากการลงจอดบนดวงจันทร์ของ Appllo 11 ทำให้ Omega Speedmaster ได้ออกรุ่นพิเศษเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จดังกล่าว โดยเป็น Speedmaster รุ่นแรกที่ถูกผลิตขึ้นโดยมีหมายเลขประจำเรือน และลิมิเต็ด อิดิชันสุดๆ เพียงแค่ 1,014 เรือนเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาผลิตและส่งมอบระหว่างปี 1969 – 1973 มีหมายเลขนาฬิกา 3-28 และ 1001-1008 ส่งมอบให้กับนักบินอวกาศของนาซา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ และนักสะสมนาฬิกา
และเป็นการฉลองครบ 50 ปี ของการเหยียบดวงจันทร์ ทาง Omega ก็ได้นำนาฬิการุ่นพิเศษดังกล่าวกลับมาผลิตอีกครั้ง และมีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 1,014 เรือน เช่นเดิม คงเอกลักษณ์แบบเช่นอดีต โดยถอดแบบมาจากรุ่นคลาสสิกในตำนานรหัส BA 145.022 หากแต่พัฒนาความโดดเด่นด้านวัสดุและกลไกลการทำงานต่างๆ ที่ทันสมัยเข้าไป
โดยรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี Speedmaster Apollo 11 Moonshine™ Gold 50th Anniversary Limited Edition ตัวเรือน สายนาฬิกาและหน้าปัดผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ซึ่งเป็นชนิดพิเศษที่โอเมก้าเรียกว่า มูนไซน์ (Moonshine) ที่ให้เฉดสีเหลืองอ่อนกว่าเยลโลว์โกลด์รุ่นเดิมเล็กน้อย คงทนและไม่ซีดจางง่ายๆ
ตัวเรือนขนาด 42 มม. ขอบด้านข้างตัวเรือนแบบสมมาตร ขานาฬิกาแบบทวิสเตด สายนาฬิกาข้อต่อแบบ 5 โค้งต่อแถว ส่วนขอบตัวเรือนเป็นเซรามิกสีเบอร์กันดีที่แข็งแรงกันรอยขีดข่วนได้ดี ขณะที่มาตรวัดความเร็วสเกลทาคีมิเตอร์เริ่มต้นที่ 500 หน่วยต่อชั่วโมง ที่ถอดแบบมาจากมาตรวัดความเร็วสเกลทาคีมิเตอร์ใน Speedmaster รุ่นแรก แต่ความแตกต่างคือรุ่นใหม่นี้มีลูกเล่นที่จุดอยู่เหนือเลข 90 หรือที่เรียกว่า DON นั่นเอง
ส่วนกระจกเป็นแซฟไฟร์ตามยุคสมัยนิยมเคลือสารป้องกันการสะท้อนทั้งสองด้าน และมีกลไกลเป็น Calibre 3861 ซึ่งพัฒนามาจากกลไกลรุ่นเดิมที่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ โดยโอเมก้าใช้เวลานานถึง 4 ปีเพื่อพัฒนา Calibre 3861 ให้มีความเที่ยงตรงระดับ Master Chronometer โดยกลไกลรุ่นใหม่นี้ทำงานด้วยความถี่เดียวกันที่ 21,600 v/h และต้านทานสนามแม่เหล็กได้อย่างดี
ความน่าสนใจยังไม่หมดแค่นั้น ในส่วนหน้าปัดขัดแต่งในแนวตั้ง พร้อมข้อความ ‘OM’ ด้านข้าง และ ‘Swiss Made’ (หรือ massif = ของทั้งชิ้น) ข้อความ ‘Au750 สลักเหนือบริเวณกึ่งกลาง พลิกมาที่ด้านหลังตรงวงแหวนฝาหลังด้านนอกแกะสลักข้อความว่า ‘1969 – 2019’ พร้อมหมายเลขลำดับนาฬิกาที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัดในสีเบอร์กันดี และยังระบุข้อความ ‘Master Chronometer’ โดยการเซาะร่องให้ดูมีมิติ
ส่วนวงแหวนฝาหลังด้านในเป็นกระจกแซฟไฟร์เคลือนด้วยสารกันสะท้อนแสง ตกแต่งด้วยเลเซอร์และเคลือบทับด้วย PVD สีฟ้าและสีดำ และพื้นผิวโดยรอบที่เหลือของฝาหลังตกแต่งด้วยสีดำเพื่อเป็นพื้นหลังสำหรับเน้นข้อความที่ระบุว่า ‘Apollo 11 – 50th Anniversary’ และ ‘The First Watch Worn on The Moon’
นี่คือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ Omega Speedmaster ที่กลายเป็นนาฬิกาแห่งห้วงอวกาศ สมฉายา ‘Moonwatch’ อย่างแท้จริง
และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีของนาฬิกา Omega Speedmaster ที่ได้ไปเหยียบดวงจันทร์พร้อมกับยลโฉม SPEEDMASTER APOLLO 11 50th Anniversary Limited Edition ได้ที่งาน “Golden Moments” invitation only เอ็กซ์คลูซีฟปาร์ตี้เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี แห่งความสำเร็จให้กับภารกิจพิชิตดวงจันทร์ จัดขึ้นในวันอังคารที่ 6 สิงหาคมนี้ เวลา 18.30 น. ณ วัน แบงค็อก (One Bangkok) ที่จะพาย้อนเวลาสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เข้าสู่ห้วงวินาทีที่สองนักบินอวกาศแห่งโครงการอพอลโล 11 ประทับรอยเท้าอันยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติลงบนพื้นผิวดวงจันทร์
พร้อมดื่มด่ำกับความล้ำค่าของเหล่าเรือนเวลา Speedmaster ที่ถูกสวมใส่บนดวงจันทร์และพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ คุณเทอร์รี่ เวิร์ตส์ วีรบุรุษแห่งองค์การนาซานักบินอวกาศผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหลากมิชชันสุดหฤโหด และ คุณเกรกอรี คิสสลิง Head of Product Management ของโอเมก้า สวิตเซอร์แลนด์ ที่บินตรงร่วมฉลองด้วย
Fact Box
- "Golden Moments" invitation only สำหรับงานเอ็กซ์คลูซีฟปาร์ตี้เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี จัดขึ้นในวันอังคารที่ 6 สิงหาคมนี้ เวลา 18.30 น. ณ วัน แบงค็อก (One Bangkok) พร้อมสัมผัสนวัตกรรมชั้นเลิศและประสบการณ์เหนือระดับไปกับ OMEGA ได้ที่บูติก สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี โทร. 0-2160-5959 สาขาสยามพารากอน โทร. 0 2129 4878 สาขาดิเอ็มโพเรียม โทร. 0-2664-9550