สายปาร์ตี้และคอดนตรีควรลองมาจอยที่ NOMA BKK บาร์ใหม่ใจกลางอาร์ซีเอ ที่มาอยู่ในโลเคชั่นเดิมของ Cosmic Cafe โดยมิได้นัดหมาย แถมอนุญาตให้คุณเต้นลืมตายในบรรยากาศแบบบ้านเพื่อน กับแนวดนตรีที่ไม่ได้เปิดกันเป็นปกติตามผับบาร์ส่วนใหญ่ของประเทศ

“เราเลือกโลเคชั่นเป็นอาร์ซีเอ ที่หลายคนมองอาจว่ามันเป็นที่ที่ตายแล้ว แต่นี่เป็นที่เดียวที่ให้เราเปิดได้ถึงตีสอง แล้วเราก็เต็มที่กับดนตรีได้ เสียงดังได้ มันไม่ได้รบกวนใคร”

ในคืนนั้นก่อนเริ่มเต้น เราได้คุยกับหนึ่งในหุ้นส่วนร้าน ‘เบนท์’ พันเลิศ ศรีสร้อย นักเขียนคอลัมน์ดนตรีฝีมือจัด ผู้เคยบอกเล่าเรื่องของ King Krule, MGMT รวมถึง Bjork และอีกหลายท่านอย่างออกรส ขณะเดียวกันเขาเป็นกราฟิกดีไซน์ที่ชาวคอนเสิร์ตจะต้องเคยผ่านตา อย่างเช่นซีรีส์คอนเสิร์ต Jamnight Live อย่าง Homeshake และ Peach Pit ซึ่งร้านของเขาก็สนุกๆ ทำนองนั้นนั่นล่ะ

ด้วยความพัวพันกับดนตรีและปาร์ตี้อย่างเข้าเส้นเลือด เบนท์จึงก่อตั้ง NOMA ร่วมกับเพื่อนๆ เพื่อกระตุ้นซีนปาร์ตี้ในกรุงเทพฯ ให้คึกคักขึ้นอีกสักหน่อย ชื่อฟังดูคล้ายพิพิธภัณฑ์ MOMA แต่แท้จริงย่อมาจาก ‘Now Our Mother’s Angry’ เพราะเมื่อมาที่นี่เราก็มีแนวโน้มจะต้องกลับบ้านด้วยสภาพร่างแหลก แต่อิ่มเอมเพราะเต้นมันเกินไปแถมมีเสียงดนตรีติดอยู่ในหัวไปถึงเช้า (ส่วนใครที่ไม่ใช่สายเต้นก็สามารถนั่งชิลล์ดูคนอื่นเต้นได้เช่นกัน)

“เราจะผลัดเปลี่ยนดีเจไปเรื่อยๆ ทุกอาทิตย์ คือดีเจแต่ละคนเขาจะมีแนวเพลงที่ต่างกัน มันคงน่าเบื่อถ้าทุกศุกร์เราเจอแต่แนวเดียวซ้ำๆ เราพยายามให้มีหลายแนว แต่หลักๆ ก็จะอยู่ที่พวกอินดี้ร็อก อินดี้ป็อปนี่แหละ ก็จะมีแนวอื่นแซมๆ มาบ้าง ส่วนทุกวันพฤหัสเราจะมี NOMA new face คือจะให้คนที่ไม่เคยเปิดเพลงที่ไหน หรือดีเจหน้าใหม่ลองมาเปิด มันน่าจะสนุกดี เพราะเราว่าคนพวกนี้น่าสนใจ เขาไม่ใช่ดีเจอาชีพ เขาแค่ อยากเปิดเพลงที่กูอยากเปิดว่ะ อยากให้คนฟังเพลงนี้ว่ะ”

นอกจากเพลงจากดีเจแล้ว ไลฟ์คอนเสิร์ตที่ NOMA ก็รับประกันความมัน เช่นคอนเสิร์ตเปิดร้านที่ได้วง Soundlanding, Temp และขุ่นแม่จีน กษิดิศ มาสร้างความบ้าคลั่ง และเมื่อถามถึงวงที่อยากให้มาเล่นที่ร้านอีก คำตอบก็บอกคาแรกเตอร์ร้านของเขาได้เป็นอย่างดี

“ถ้าเป็นเดวิด โบวี่ หรือ จอย ดิวิชั่น นี่นับไหม คือเหมือนพวกเขาคือรากของดนตรีที่พวกเราฟังอะ ซาวด์ของพวกเขาใหม่มาก มันเหนือกาลเวลา แล้วก็มีเย เย เย (Yeah Yeah Yeahs) เราว่าเขาเป็นวงเอะอะโวยวายดี ในขณะเดียวกันเวลาเขาทำเพลงช้ามันคือบทกวีแล้วก็บางเพลงก็ โห โคตรช้ำ ซึ่งเราค่อนข้างหลงใหลกับคนที่เป็นแบบนี้ แล้วอีกวงก็คงจะเป็น LCD Soundsystem คือเราเคยนึกกันว่าบุคลิกร้านเราจะเป็นแบบเจมส์ เมอร์ฟี่ คือเขาก็ไม่ได้ดูเป็นคนเก๋ แต่งตัวเก๋ เขาดูเป็นลุงอ้วนๆ ที่ชอบสังสรรค์ แต่ขณะเดียวกันดนตรีของเขาเป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ดีมาก”

ความน่าสนใจอีกอย่างของร้านก็คือบรรยากาศที่ตั้งใจให้ดูดิบๆ หน่อย แต่สนุก เราเห็นโปสเตอร์แปะง่ายๆ เต็มฝาผนังด้านหนึ่ง ซึ่งเบนท์เล่าว่าวันหนึ่งอาจมีการบอมบ์ให้มันกลายเป็นอะไรอย่างอื่นก็ได้

“เราหลงใหลการมีอยู่ของสิ่งพิมพ์ เหมือนที่ต่างประเทศจะมีพื้นที่ของงานปรินต์ตามผนัง ซึ่งเราชอบอะไรแบบนั้น หรืออย่างเรื่องอาร์ตเนี่ย เราอยากให้ร้านเป็นฟีลบาวเฮาส์ (Bauhaus) เราเลยเลือกใช้เชปส่วนโค้งตรงผนัง หรือช่องหน้าต่างด้านบน เป็นการดึงเอาเชปง่ายๆ มาผสม หรือแก้วเราก็ใช้หลากหลายแบบเหมือนเป็นแก้วในบ้านสมัยเรายังเด็ก โลโก้ของเรา เราใช้กราฟิกเป็นเส้นยุ่งๆ เหมือนคนบ่นเวลาโกรธ ขณะเดียวกันมันเหมือนสปริงในโซฟาเวลาเรามาปาร์ตี้บ้านเพื่อนจนโซฟาพัง”

ด้วยการตกแต่งและแสงไฟที่เลือกสีมาแล้วอย่างดี บวกกับบรรยากาศปลอดโปร่งแบบเอาต์ดอร์กึ่งหนึ่ง กับเสียงดนตรี ความสนุกเลยเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ดีเจเริ่มต้นด้วยเพลงอะไรที่เราเองก็ไม่รู้จัก (สารภาพตามตรง) แต่เพลินจนโยกหัวได้ สลับมากับเพลงที่รู้จักซึ่งก็จะทำให้โยกหัวแรงขึ้น แล้วบีทก็ค่อยๆ มันขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่ต้องเต้น และในที่สุดพี่ดีเจก็ปล่อยเพลงพื้นฐานออกมาอย่างเช่น What You Know, Kids หรือ Fluorescent Adolescent ฯลฯ คนก็ยิ่งหยุดไม่ได้ ดึกหน่อยก็อาจจะมีฝรั่งที่มาค้นหาอะไรอะไรแถวอาร์ซีเอเข้ามาร่วมแจม มุมด้านในร้านก็มีกลองชุดตั้งอยู่ซึ่งใครอยากโชว์ฝีมือตีกลองเคล้าดีเจก็ย่อมได้ (แต่ช่วยตีให้ตรงจังหวะด้วย ขอร้อง!)

เหมือนว่าพอพูดคำว่าปาร์ตี้แล้วเราอยากจะเมามันกันอย่างเดียว แต่บางครั้งการสังสรรค์ก็ได้เปิดแง่มุมครีเอทีฟของใครหลายคนได้เช่นกัน อย่างน้อยก็สำหรับเบนท์ ที่เขาเองได้เจอคนใหม่ๆ และรับแรงบันดาลใจจากผู้คนเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง

และเราคงเรียกนี่ว่าเฮ้าส์ปาร์ตี้ได้ไม่เต็มปาก ถ้าไม่มีเครื่องดื่มสนุกๆ ซึ่งค็อกเทลของ NOMA ก็เป็นการคิดค้นสูตรขึ้นมาเพื่อการณ์นี้ ทุกแก้วถูกคิดขึ้นโดยมีวัตถุดิบบ้านๆ ในตู้เย็นเป็นหลัก และมีเบสเป็นจินกับวอดก้า

เราเริ่มจาก Dirty ที่มีกลิ่นนมหวานๆ และเคลือบปากแก้วด้วยนูเทลล่าหนาๆ เน้นๆ ให้ใครที่ไม่กลัวเสียลุคปาดกินด้วยนิ้วโป้งนิ้วชี้นิ้วกลางกันตามใจชอบ ตามด้วย Jam on the Toast หอมหวานด้วยรสชาติแยมสตรอว์เบอรี่ ได้กลิ่นมะนาวปนหน่อยๆ แถมสนุกที่เจลลี่แบร์เสียบไม้มาให้เคี้ยวหนึบๆ ต่อด้วย Tropical Yogurt รสชาติละมุนๆ อมเปรี้ยวสมชื่อ เติมกลิ่นป่าฝนเขตร้อนด้วยสับปะรดให้สดชื่น ตัดเลี่ยนจากแก้วแรกได้เป็นอย่างดี (พอหายเลี่ยนก็สามารถกลับมาดื่ม Dirty Starches ได้อีกแก้ว)

มาต่อกันที่ค็อกเทลชื่อสวย Cyndi’s Flower ที่จู่โจมด้วยกลิ่นหอมมาก่อน แถมรสชาติหวานกำลังดีดื่มเพลินได้ยาวๆ ก่อนที่เราจะพบโลกใหม่ด้วย Oyster ที่ได้กลิ่นซอสหอยนางรมมาแต่ไกล ในแก้วลายปลาทองดูจี๊นจีน เรากลั้นใจลืมกลิ่นซอสอันแรงกล้า กลืนลงไปได้กลิ่นสมุนไพรนิดๆ แต่สำหรับเราแล้วแก้วนี้อาจไม่ได้เกิดมาเพื่อเรา ลองไปสองจิบก็ยกให้คนข้างๆ ที่ถนัดอาหารจีน ก็พบว่าคล่องคอเขาดี

แน่นอนว่าหากดื่มทั้งหมดลงไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวอ้วน ทางออกของเราจึงเป็นการออกกำลังกาย ว่าแล้วดีเจก็เปิดเพลง Take on Me ขึ้นมา และใครจะนั่งนิ่งๆ ได้ไหว

Tags: , , , , ,