รัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาแถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่าจะใช้มาตรการกำแพงภาษีกับสินค้าจากสหภาพยุโรป อาทิ อากาศยาน ไวน์ น้ำมันมะกอก และชีส โดยมาตรการดังกล่าวได้รับอนุมัติโดยองค์การการค้าโลก (World Trade Organization) ที่ตัดสินให้สหรัฐอเมริกาสามารถใช้มาตรการกำแพงภาษีกับสินค้าส่งออกจากสหภาพยุโรปมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
คดีความดังกล่าวใช้เวลาพิจารณายาวนานถึง 15 ปี โดยสหรัฐอเมริกาฟ้องร้องกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปซึ่งให้เงินอุดหนุนบริษัทผลิตอากาศยานแอร์บัส (Airbus) อย่างผิดกฎหมาย โดยบริษัทดังกล่าวเป็นคู่แข่งรายสำคัญของบริษัทสัญชาติอเมริกันในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างโบอิ้ง (Boeing)
มาตรการกำแพงภาษีดังกล่าวจะบังคับใช้ในวันที่ 18 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป โดยจะเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 สำหรับอากาศยาน และร้อยละ 25 สำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมหลากชนิดจากสหภาพยุโรป
แถลงการณ์โดยคณะกรรมการการค้าสหภาพยุโรป (E.U. Trade Commission) โจมตีมาตรการดังกล่าวว่า “ไม่สร้างสรรค์และสวนทางกับการสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ” พร้อมระบุว่ามาตรการดังกล่าวทำให้สหภาพยุโรปอาจไม่มีทางเลือกนอกจากใช้มาตรการตอบโต้เช่นเดียวกัน ที่สำคัญ องค์การการค้าโลกระบุว่าจะตัดสินคดีความที่กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปฟ้องร้องสหรัฐอเมริกาที่ให้เงินอุดหนุนบริษัทผลิตอากาศยานโบอิ้งภายในต้นปีหน้า ซึ่งอาจนำไปสู่การอนุญาตให้สหภาพยุโรปตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าจากสหรัฐอเมริกาโดยไม่ผิดกติกาการค้าระหว่างประเทศ
ความอึมครึมของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศทำให้ตลาดหุ้นทั่วทั้งเอเชียร่วงลงอย่างรุนแรง อาทิ ดัชนี Nikkei ในตลาดหุ้นกรุงโตเกียวปิดตัวที่ลบ 2.01% ดัชนี ASX200 ของออสเตรเลียลดลง 2.21% เช่นเดียวกับดัชนี KOSPI ที่ตลาดกรุงโซลที่ปรับตัวลดลง 1.95%
เรียบเรียงจาก:
https://time.com/5691458/trump-tariffs-whiskey-cheese-eu/
https://www.nytimes.com/2019/10/02/us/politics/airbus-tariffs-wto.html
ภาพ: Regis Duvignau/Reuters
Tags: สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, สงครามการค้า, กำแพงภาษี