หลังทั่วโลกสังเกตท่าทีของกองทัพเมียนมาอยู่นานว่าสุดท้ายจะทำรัฐประหารหรือไม่ ในที่สุดเช้าตรู่ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ก็เกิดการทำรัฐประหารขึ้นจริง เมื่อกองทัพควบคุมตัวนักการเมืองหลายคน ก่อนการประชุมสภาที่จะมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้นานาชาติต่างใคร่รู้ว่า สาเหตุที่กองทัพเมียนมาตัดสินใจทำรัฐประหารเกิดขึ้นเพราะอะไรบ้าง
The Momentum ได้รวบรวมเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างกองทัพ กับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงเรื่องราว ‘ระหว่างทาง’ ก่อนจะเดินมาถึงจุดแตกหักดังนี้
โกงเลือกตั้ง คำครหาสาปส่ง และผลคะแนนไปรษณีย์ที่ไม่น่าไว้ใจ
ผลการเลือกตั้งเมียนมา ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 จบลงด้วยชัยชนะของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) นำโดยหัวหน้าพรรคอย่าง นางอองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว พรรคการเมืองโดยพลเรือนยังคงครองความนิยมส่วนใหญ่ในประเทศ
ย้อนกลับไปยังการเลือกตั้งปี 2558 พรรคเอ็นแอลดี เคยสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองเมียนมาด้วยการคว้าชัยครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้เก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรไป 196 ที่นั่ง ส่วนสภาชนชาติ (สภาสูง) ได้ 95 ที่นั่ง ขณะที่พรรครัฐบาลเก่าอย่างพรรคสหภาพเพื่อความสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) ได้ที่นั่งทั้งสภาล่างและสภาสูงรวมแล้ว 33 ที่นั่งเท่านั้น ตอกย้ำว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ พึงพอใจกับพรรคของพลเรือนมากกว่าพรรคที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ
หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาถูกมองว่าบริหารประเทศได้ไม่เข้าใจประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะการโจมตีของ กลุ่มสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch: HRW) ในประเด็นที่คนของกองทัพยังคงมีสิทธิได้เข้าไปนั่งในสภา โดยในช่วงหาเสียงปี 2558 ซูจีกล่าวว่าพรรคของเธอจะพยายามหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพื่อลดบทบาทอำนาจของตัวแทนฝ่ายทหารที่ได้เข้ามานั่งในสภา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างยังคงเหมือนวันเก่าไม่แปรเปลี่ยน
การเลือกตั้งปี 2563 เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงตั้งแต่ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง เมื่อกองทัพกล่าวหาว่าพรรครัฐบาลอาจกำลังพยายามโกงเลือกตั้ง ล้มเหลวในการรักษารัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดกระบวนการเลือกตั้งล่วงหน้า ส่วนชาวเมียนมาบางกลุ่มมองว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าในหลายรัฐมีช่องโหว่ โจมตีรัฐบาลเรื่องการให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยกเลิกหน่วยเลือกตั้งในรัฐยะไข่ รัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ รัฐชิน และรัฐกะฉิ่น โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองทัพอาระกัน (AA) ที่เรียกร้องสิทธิการปกครองตนเองจนเกิดสงครามกลางเมือง
ข่าวการยกเลิกหน่วยเลือกตั้งในรัฐยะไข่มีความเกี่ยวข้องกับการยกเลิกสถานะพลเมืองของชาวมุสลิมโรฮีนจาเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากรัฐบาลมองว่าชาวโรฮีนจาเป็นชาวเบงกอลจากบังกลาเทศ ไม่ใช่ชาวเมียนมา (แม้หลักฐานทางประวัติศาสตร์จำนวนมากจะสามารถระบุถึงการตั้งถิ่นฐานในประเทศได้ก็ตาม) ทำให้ชาวโรฮีนจารวมถึงคนกลุ่มน้อยหลายล้านคน ไม่มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมาย
รัฐบาลได้ออกมาอธิบายกรณีดังกล่าวว่า จำเป็นต้องยกเลิกหน่วยเลือกตั้งหลายแห่งเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย หากยังคงให้มีหน่วยเลือกตั้งในหลายพื้นที่ อาจเกิดความรุนแรงหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่อประชาชนที่เดินทางมายังคูหา อย่างไรก็ตาม เลขาธิการพรรคแห่งชาติอาระกัน (ANP) มองว่าการยกเลิกหน่วยเลือกตั้งไม่ได้มีเหตุผลหลักเป็นเรื่องความปลอดภัยอย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้าง แต่เป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองมากกว่า จึงทำให้หน่วยเลือกตั้งจากเดิมที่มีอยู่ 1,171 เขต เหลือเพียง 1,117 เขต
นอกจากปัญหาชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อย การล็อกดาวน์เพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ในเมียนมาสร้างความไม่ยุติธรรมในมุมมองของหลายพรรคที่กำลังหาเสียง เมื่อประชาชนหลายรัฐโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ถูกสั่งไม่ให้ออกจากบ้าน ผู้ลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่นที่ไม่ใช่พรรครัฐบาลจึงไม่สามารถหาเสียงได้มากนัก เนื่องจากระบบเทคโนโลยีของประเทศก็ยังไม่ทันสมัย การจะส่งเสียงไปถึงประชาชน จำเป็นต้องลงพื้นที่ แต่ถึงอย่างนั้นพรรครัฐบาล กลับสามารถใช้สื่อที่มีอยู่หาเสียงได้มากกว่าพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคอื่นๆ ที่เป็นพรรคการเมืองขนาดเล็ก
ความไม่พอใจของกองทัพที่มีต่อการเลือกตั้งปี 2563 อาจมีเหตุผลอื่นประกอบด้วย ในปีนี้ถือเป็นปีแรกที่ทหารทุกระดับชั้นรวมถึงครอบครัวจะไม่ได้ลงคะแนนเสียงในค่ายทหารอีกต่อไป รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกการตั้งหน่วยเลือกตั้งในค่ายทหารหรือฐานทัพเพื่อความโปร่งใส ส่วนสื่อท้องถิ่นหลายสำนักของเมียนมาได้จัดทำผลสำรวจความนิยมก่อนการเลือกตั้ง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่กว่า 79 เปอร์เซ็นต์ ยังคงมองว่านางซูจีคือนักการเมืองที่ไว้ใจได้มากที่สุดตอนนี้
พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า กองทัพกำลังเฝ้าดูการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างใกล้ชิด ตำหนิคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพถึงการละเมิดกระบวนการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ผิดพลาดจนไม่สามารถยอมรับได้ ทำให้พรรคฝ่ายค้านจำนวนมากแสดงความกังวลไม่ต่างจากที่กองทัพกังวล
ด้านสำนักประธานาธิบดีเมียนมาออกมาโต้ตอบถ้อยแถลงของพลเอกอาวุโส กล่าวว่าพลเอกท่านนี้พยายามจะยุยงปลุกปั่นและก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในสังคม ภายหลัง นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ออกแถลงการณ์ว่า แม้รู้สึกไม่พอใจกับการทำงานของรัฐ แต่เขาก็จะเคารพและฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
ชัยชนะแบบถล่มทลายอีกครั้งของ อองซานซูจี
แม้การเลือกตั้งปี 2563 พรรคเอ็นแอลดีอาจไม่ได้รับความนิยมล้นหลามเท่าเก่า แต่ก็ยังคว้าชัยไปแบบสบายๆ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการออกมาแล้วว่าพรรคของนางอองซานซูจี ยังคงเสียงข้างมากคว้าที่นั่งในสภาไปได้ 396 ที่นั่ง แบ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) 258 ที่นั่ง สภาชนชาติ (สภาสูง) 138 ที่นั่ง ทางด้านพรรคฝ่ายค้านอย่าง USDP ได้เสียงในสภาล่างไป 26 ส่วนสภาสูงมีเพียง 7 ที่นั่ง ลดลงสภาละ 4 ที่นั่ง และ อู วิน มินต์ (U Win Myint) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อ
รัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 2008 ระบุว่าพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งจะต้องมี ส.ส. ไม่ต่ำกว่า 322 ที่นั่ง จึงจะมีสิทธิเสนอผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงกำหนดให้รัฐบาลชุดใหม่เปิดการประชุมสภาครั้งแรกภายใน 90 วัน หลังเริ่มการเลือกตั้งทั่วไป ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพรรค USDP และกองทัพว่าเกิดการโกงเลือกตั้งไปทั่วประเทศ แต่ กกต. กลับไม่ทำอะไรเลย
ทหารเรียกร้องให้ กกต. เมียนมา ชี้แจงเรื่องการโกงเลือกตั้ง
กองทัพเรียกร้องให้เลื่อนการเปิดการประชุมสภาครั้งแรก ที่เดิมนัดไว้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ออกไปก่อน พร้อมกับกดดันให้ กกต. และตัวแทนพรรครัฐบาลออกมาชี้แจงถึงความไม่ชอบมาพากลในการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2563
ยังมีคนไม่น้อยปักใจเชื่อว่ามีประชาชนบางส่วนถูกตัดสิทธิ์อย่างไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากถูกสวมสิทธิ์ มีความผิดปกติเรื่องจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนชาวเมียนมากว่า 8.6 ล้านคน ถูกโกงเลือกตั้ง
เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักถ่ายภาพการเคลื่อนกำลังยานเกราะล้อยาง 2 คัน พร้อมรถบรรทุกทหารแบบ 6 ล้อ จำนวน 5 คัน มุ่งหน้าไปยังเมืองล่อเสี้ยว รัฐฉานตอนเหนือ ส่วนในกรุงย่างกุ้งพบรถถังล้อยางจอดอยู่กับทหารจำนวนมากยืนกันเต็มถนนเช่นกัน
เสียงคัดค้านของประชาชนผู้ฝักใฝ่ในกองทัพ
ช่วงสุดสัปดาห์ ประชาชน ร่วมกับพระสงฆ์กว่าพันคน ตัดสินใจถือธงชาติและป้ายประท้วงเดินบนท้องถนนในกรุงย่างกุ้ง มุ่งหน้าไปยังเจดีย์ชเวดากอง คัดค้านผลการเลือกตั้งประจำปี 2563 ที่พรรคเอ็นแอลดี มีชัยไปอย่างถล่มทลาย ชูป้ายต่อต้านการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา เชื่อว่านางซูจีอาจมีส่วนโกงเลือกตั้ง
การชุมนุมเกิดขึ้นท่ามกลางข่าวลือหนาหูว่ากองทัพจะทำรัฐประหาร ความวุ่นวายทางการเมืองดูท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความตึงเครียดของหลายฝ่ายที่มองว่าการจัดการชุมนุมในช่วงนี้อาจเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เข้าขั้นน่าเป็นห่วง
กองทัพปฏิเสธหนักแน่น ‘ไม่รัฐประหาร’
ไม่นานมานี้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพแห่งชาติเมียนมา ได้บรรยายพิเศษทางไกลแก่นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันประเทศ ในกรุงเนปิดอว์ เนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุด ควรเคารพและปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากไม่เคารพและไม่ปฏิบัติตาม อาจจำเป็นต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญนั้น”
ความคิดเห็นของนายพลอาวุโสหล่ายเป็นไปในทางเดียวกันกับ พลจัตวา ซอ มิน ตุน (Zaw Min Tun) เจ้าหน้าที่ระดับสูง คณะกรรมาธิการข่าวกองทัพแห่งชาติเมียนมาที่ออกมากล่าวว่า “เราไม่ได้พูดว่ากองทัพจะยึดอำนาจ และเราก็ไม่ได้พูดว่าจะไม่ทำรัฐประหารเช่นกัน สิ่งที่เราพูดได้ก็คือ เราปฏิบัติตามกฎหมาย”
ถ้อยคำของนายพลระดับสูงหลายคนสร้างความกังวลใจแก่ประชาชนทั่วไป ส่งผลให้องค์การสหประชาชาติ (UN) รวมถึงสถานทูตหลายประเทศในเมียนมา พากันออกแถลงการณ์การเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในประชาธิปไตย ย้ำว่าจะต้องเคารพผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
หลังการเคลื่อนไหวขององค์การระดับโลกรวมถึงประเทศมหาอำนาจหลายแห่ง วันที่ 31 มกราคม 2563 กองทัพออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้จะทำอะไร ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการสื่อสารผิดพลาด ที่เอาข้อความของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ไปตีความใหม่จนบิดเบือน ยืนยันว่ากองทัพจะทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ และเคารพกฎหมาย
ด้าน เมียว ยุนต์ (Myo Nyunt) โฆษกพรรคเอ็นแอลดี ออกแถลงการณ์การให้กองทัพเคารพการตัดสินใจของประชาชนที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง ท่ามกลางนักวิชาการบางส่วนที่คาดว่า ‘กองทัพไม่น่าจะทำรัฐประหาร’ เพราะการประชุมสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาลชุดใหม่จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ดูเหมือนว่านักวิชาการเหล่านั้นจะคาดการณ์ผิด และคงแก้สถานการณ์ของเมียนมา ณ ขณะนี้ไม่ทันการเสียแล้ว
รัฐประหารย่ำรุ่ง ทหารมุ่งจับนักการเมือง
นักข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ ติดต่อหา เมียว ยุนต์ โฆษกพรรคเอ็นแอลดี ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และได้รับการยืนยันแล้วว่า ประธานาธิบดีเมียนมา นางอองซานซูจี และนักการเมืองอาวุโสจากพรรคร่วมรัฐบาลหลายคนถูกทหารควบคุมตัวเรียบร้อยแล้ว โดยช่วงเช้าเกิดเหตุขัดข้องทั้งกับสัญญาณอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ต้องระงับการออกอากาศชั่วคราวเพราะ ‘เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค’
นอกจากการจับตัวนักการเมือง มีรายงานว่ากองทัพเมียนมาเคลื่อนกำลังพลเข้าควบคุมสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงย่างกุ้ง คาดว่าเหตุผลของการเคลื่อนไหวในเช้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เกิดขึ้นเพราะกองทัพมั่นใจว่าพรรคเอ็นแอลดี โกงการเลือกตั้ง ก่อนทิ้งท้ายว่าเขาเองก็อาจจะถูกควบคุมตัวในเร็วๆ นี้ และฝากข้อความไปถึงประชาชนชาวเมียนมาทุกคนว่า “อย่าตอบโต้อย่างผลีผลาม ทหารจะต้องทำตามกฎหมาย”
กองทัพออกแถลงการณ์คุมตัวนักการเมืองหลายคนออกจากบ้านพักจริง เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ‘ทุจริตเป็นวงกว้าง’ และนับจากวันนี้เป็นเวลา 1 ปี อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จะอยู่ภายใต้การควบคุมของนายพลอาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทั่วประเทศจะต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และ พลเอก มินต์ ส่วย (Myint Swe) วัย 69 ปี ที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำห้ามเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา (Specially Designated National) จะทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีรักษาการไปก่อน
ทันทีที่เกิดการทำรัฐประหาร สหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัวนักการเมืองที่ถูกคุมตัวอยู่ทุกคน ‘ภายในวันนี้’ หากไม่ยอมปล่อยตัวจะเริ่มมาตรการคว่ำบาตรทันที เนื่องจากสหรัฐฯ สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของเมียนมามาโดยตลอด เช่นเดียวกับออสเตรเลียที่แสดงความกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้ทหารปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมโดยเร็วที่สุด
สองครั้งล่าสุดในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองเมียนมาที่เผยให้เห็นว่าเกิดการฉีกรัฐธรรมนูญ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1962 และ 1988 ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นโดยกองทัพ กลุ่มทหารตัดสินใจยึดอำนาจการปกครอง จัดตั้งรัฐบาลทหารขึ้นมาบริหารประเทศแทน จนกระทั่งการรัฐประหารในเมียนมาวนกลับมาอีกครั้งในปี 2564 ที่ทำให้ประเทศได้สัมผัสกับประชาธิปไตยเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น
อ้างอิง
https://edition.cnn.com/2020/11/06/asia/myanmar-election-2020-suu-kyi-intl-hnk/index.html
Tags: เมียนมา, Report, The Momentum, เลือกตั้ง, ทหาร, Global Affairs, พม่า, Myanmar, ประชาธิปไตย, รัฐประหาร