เวลาเลือกดูภาพยนตร์สักเรื่องคุณเลือกจากอะไรบ้าง? ความชอบส่วนตัว ความคิดเห็นของเพื่อน ตัวอย่างที่น่าสนใจ หรือเข้าเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบคะแนนที่ได้รับ ยอมรับตามตรงว่าผู้เขียนคือคนประเภทที่ชอบตรวจสอบคะแนนก่อนการตัดสินใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าภาพยนตร์เรื่องไหนคะแนนน้อยแล้วก็จะไม่สนใจเลย

ปัจจุบันเว็บไซต์หลักที่รวมรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์จะมีอยู่สามเว็บไซต์ ได้แก่ Rottentomatoes, Metacritics และ IMDb ซึ่งวันนี้เราจะขอพูดถึง IMDb

IMDb ก่อตั้งในปี ค.ศ.1990 โดยโคลิน นีดแฮม โปรแกรมเมอร์ที่สร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมาเป็นงานอดิเรก เขารักการดูภาพยนตร์และต้องการแบ่งปันความรักของเขาสู่คนอื่น ความหลงใหลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับโคลินเท่านั้น แต่มันยังเกิดขึ้นกับคนอื่นๆ หลังจากนั้นงานอดิเรกของเขาก็มีคนมาร่วมด้วยอีกหลายคน จน IMDb กลายเป็นหนึ่งในคู่มือนำทางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และแอมะซอนเข้ามาซื้อกิจการในที่สุด

วันนี้เราจึงอยากชวนมาดูภาพยนตร์ที่ได้คะแนนสูงสุดตลอดกาล โดยมีคะแนนมากกว่า 8.5 ขึ้นไป ลองมาดูกันว่าคะแนนเหล่านี้จะถูกจริตความชอบคุณมากแค่ไหน

Fight Club (1999)

IMDb Rating 8.8

Fight Club ดัดแปลงมาจากนวนิยายของชัค พอลาห์นิก ซึ่งฉบับหนังสือเพิ่งมีแปลออกมาเป็นภาษาไทยในชื่อ ไฟต์คลับ โดยสำนักพิมพ์ Merry-Go-Round ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยเดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับที่เล่าภาพยนตร์ธริลเลอร์ได้เก่งกาจที่สุด เคล็ดลับง่ายๆ ในการกำกับของเขาก็คือ “ต้องทำให้คนดูอึดอัดใจไปเรื่อยๆ”

Fight Club เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์คลาสสิกที่หยิบมาดูได้ตลอด แสดงนำโดย แบรด พิตต์, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน และเฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ หลายคนแม้ไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่อาจจะเคยได้ยินประโยคดังผ่านหูกันมาบ้าง “กฎเหล็กของไฟต์คลับคือห้ามพูดถึงไฟต์คลับ” มันเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยฉากรุนแรง ความบ้าคลั่ง และความปราดเปรื่องในการฉีกกฎที่เราก้มหน้าก้มตาทำต่อๆ กันมา

เรื่องราวถูกเล่าโดยการบรรยายผ่านตัวละครเอกที่ชื่อว่า แจ็ค มนุษย์เงินเดือนจากบริษัทประกันภัย ผู้เป็นโรคนอนไม่หลับ แจ็คดำเนินชีวิตเรียบง่ายตามแบบฉบับของโลกทุนนิยม ไม่มีความทะเยอทะยาน และการรักษาโรคนอนไม่หลับแบบแปลกๆ คือการไปเนียนอยู่ในกลุ่มบำบัดโรคร้ายแรงต่างๆ และเศร้าไปกับพวกเขาที่กำลังจะป่วยตาย ก็คงเป็นการผจญภัยที่ดีที่สุดของแจ็คแล้วละมั้ง จนเขาได้พบกับชายผู้ที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาลอย่าง ไทเลอร์ เดอร์เดน

ไทเลอร์ เดอร์เดน เซลล์แมนขายสบู่ เขาเป็นตัวละครลึกลับ ไม่มีที่มาแน่ชัด แต่น่าหลงใหล บ้าดีเดือด ขบถต่อสิ่งรอบตัว เรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงกันข้ามอย่างที่สุดของแจ็ค ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างคนสองคนนั้นกลับลงตัว พวกเขาได้ก่อตั้ง ‘ไฟต์คลับ’ การพบเจอของกลุ่มที่ทุกๆ คนสามารถ ปลดปล่อยความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงผ่านการต่อสู้มือเปล่า และถ้าคุณมาที่ไฟต์คลับเป็นคืนแรก คุณจะต้องสู้  ในความคิดของไทเลอร์ สังคมตอนนี้ไม่มีอะไรเลย ทุกสิ่งล้วนห่วยแตกและมันกำลังหลอกลวงเรา และเขาเริ่มคิดการใหญ่กว่านั้น ในเมื่อโลกทุนนิยมมันช่างฟอนเฟะ ดังนั้นเราก็ทำลายระบบมันซะ! แจ็คจะร่วมมือกับไทเลอร์หรือไม่ หรือจะหันหลังแล้วจากไป

การแสดงของแบรดและเอ็ดเวิร์ดไม่มีที่ติ ทั้งเท่และดุดัน เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นที่ประเคนความรุนแรงมาแบบเต็มเหนี่ยว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราเบือนหน้าหนี จุดที่เจ็บแสบที่สุดคงเป็นการเสียดสีสังคมอย่างแสบสัน ซึ่งสะท้อนความเป็นมนุษย์ของเราได้ดี

One Flew Over the Cuckoo’s Nest (1975)

IMDb Rating 8.7

One Flew Over the Cuckoo’s Nest สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ซึ่งเขียนโดย เคน คีซีย์ ฉบับหนังสือได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ ข้ามผ่านพันธนาการ สำนักพิมพ์ไลต์เฮาส์ แต่ปัจจุบันที่สามารถหาอ่านได้จะเป็นฉบับของสำนักพิมพ์สมิต ในชื่อ บ้าก็บ้าวะ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ชนะรางวัลออสการ์ไปถึง 5 รางวัล แสดงนำโดยแจ็ก นิโคลสัน แจ็กได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 12 ครั้ง และได้รางวัลมาทั้งหมด 3 ครั้ง แต่หลังจากภาพยนตร์เรื่องล่าสุดในปี ค.ศ. 2010 เขาก็ห่างหายไปจากการแสดงและไม่ปรากฏตัวบนจออีกเลย และข่าวคราวล่าสุดที่ว่าเขาจะปรากฏตัวในภาพยนตร์ฉบับรีเมคเรื่อง Toni Erdmann ตอนนี้ก็เป็นอันว่าเรารู้แล้วว่ามันคงไม่เกิดขึ้น

เรื่องราวของ One Flew Over the Cuckoo’s Nest เกิดขึ้นในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในโอเรกอน แรนดัล แมคเมอร์ฟีย์ เป็นผู้ต้องขังที่ถูกส่งมายังโรงพยาบาลนี้เพื่อตรวจสอบว่าเขาบ้าจริงหรือแกล้งบ้า เพราะไม่อยากทำงานหนักในระยะเวลาที่ถูกคุมขัง แมคเมอร์ฟีย์มีบุคลิกต่อต้านสังคม (antisocial personality disorder) แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดก่อนว่าเขาป่วยจริงๆ

วอร์ดที่แมคเมอร์ฟีย์เข้ามารักษาตัวมีนางพยาบาลมิลเดรด แร็ทเชด เป็นผู้ดูแล และเธอก็ช่างเคร่งครัดเหลือเกิน แทนที่จะให้ความรู้สึกเหมือนดูแล กลับกลายเป็นการควบคุมเสียมากกว่า แมคเมอร์ฟีย์ปฏิบัติตัวทุกอย่างตามปกติ อยากคุยกับใครก็คุย อยากเล่นกับใครก็เล่น บ่อยครั้งก็ก่อกวนกฎและอำนาจของโรงพยาบาล  แล้วมันก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แร็ทเชดพอใจกับอำนาจที่เธอมี และเธอก็ต้องการแสดงให้แมคเมอร์ฟีย์เห็นว่าเขาจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข มันจึงนำมาซึ่งการแหกโรงพยาบาลที่ไม่ต่างจากการแหกคุก แต่อิสรภาพนั้นราคาแพง ทุกสิ่งมีราคาที่ต้องจ่าย และมันก็ถูกจ่ายด้วยโศกนาฏกรรมแสนเศร้า ซึ่งนำไปสู่จุดจบอันโด่งดังและกินใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ แมคเมอร์ฟีอาจเป็นทั้งนักบุญและผู้ป่วย แต่ภายใต้บุคลิกใดๆ ก็ตาม เขาควรได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างถูกต้อง

Goodfellas (1990)

IMDb Rating 8.7

หาก The Godfather เป็นตำนานไตรภาคของภาพยนตร์แนวแก๊งสเตอร์ Goodfellas เองก็อยู่ในระดับขึ้นหิ้งไม่ต่างกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี่ ผู้กำกับชั้นครูที่กล่าวไว้ว่า “ทั้งชีวิตของเขามีแค่ภาพยนตร์และศาสนาเท่านั้น” ผลงานล่าสุดของเขาคือเรื่อง Silence ภาพยนตร์ศาสนาลำดับที่ 3

Goodfellas เป็นภาพยนตร์ที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของมาเฟียอิตาลีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหยิบยกมาจากหนังสือชื่อ Wiseguy เขียนโดยนิโคลัส พิเลจจี้ ภาพยนตร์ได้นักแสดงชื่อดังมาร่วมงานหลายคน อาทิ โรเบิร์ต เดอ นีโร, เรย์ ลีอ็อตต้า, โจ เปสชี่ และพอล โซวิโน

เรื่องราวเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1955 ภาพยนตร์จะพาเราไปตามติดชีวิตของเฮนรี่ ฮิลล์ นักเรียนมัธยมที่ชื่นชอบชีวิตแบบเกเรเสเพลมากกว่าการเรียนหนังสือ เขาคอยช่วยงานจิปาถะต่างๆ ในแก๊งมาเฟียตลอด จนถึงวันที่เขาไต่เต้าขึ้นมาได้เรื่อยๆ ทั้งเฮนรี่และเพื่อนๆ ได้ร่วมงานกับหัวหน้าแก๊งมาเฟียอย่างพอลลี่ ในที่สุด พวกเขามีหน้าที่คุมร้านอาหาร ทวงหนี้ เก็บค่าคุ้มครอง และบางครั้งก็ออกปล้น จนมีเงินทองและอยู่กันอย่างสุขสบาย

แต่ก็เหมือนว่ามันไม่เคยพอ เฮนรี่จึงย่างเข้าไปสู่วงการค้ายาเสพติด เขาแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มีความเกรี้ยวกราด ร้อนรน หวาดระแวง และใช้ความรุนแรงกับภรรยาของตน เมื่อถึงจุดสูงสุดชีวิตก็ค่อยๆ ตกต่ำลงจนแทบเอาตัวไม่รอด เขาสูญเสียแทบจะทุกสิ่งที่เคยมี รวมถึงอำนาจบารมีที่สั่งสมมา ความขมขื่นกับส่งที่ตัวเองได้กระทำนั้นอย่างไรก็ไม่มีวันลบเลือนออกจากความทรงจำ ต่อให้เราสำนึกได้มันก็ไม่มีทางลบล้างความเลวร้ายของอดีต

เทคนิคการถ่ายทำของมาร์ตินก็ยังคงสร้างความประทับใจให้เราเสมอตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน โดยเฉพาะใน Goodfellas ยังมีฉาก  Long Take เลื่องชื่อที่ผู้คนต่างชมเป็นเสียงเดียวกัน ใครชอบภาพยนตร์แนวแก๊งสเตอร์ หรืออาชญากรรมต้องดูให้ได้ก่อนตาย!

The Silence of the Lambs (1991)

IMDb Rating 8.6

อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายขายดี แล้วได้รับการตอบรับที่ดีไม่แพ้ต้นฉบับ The Silence of the Lambs สร้างมาจากผลงานในชื่อเดียวกันของนักเขียนนาม โธมัส แฮร์ริส เรื่องราวของ ดร.ฮันนิบาล เลคเตอร์ ที่ออกมาจำนวนสี่เล่มด้วยกัน ได้แก่ Red Dragon (1981), The Silence of the Lambs (1988), Hannibal (1999) และ Hannibal Rising (2006)

The Silence of the Lambs เป็นผลงานการกำกับของโจนาธาน เดมมี่ ที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึง 5 สาขา จากการเข้าชิง 7 สาขา และการปรากฎตัวของแอนโทนี ฮ็อปกินส์ เพียง 17 นาทีนั้นยังทรงพลังจนสามารถทำให้คว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาได้ด้วย

แคร์ลิซ สตาร์ลิง เอฟบีไอฝึกหัดได้รับมอบหมายให้ร่วมสืบคดีฆาตรกรรม เพื่อตามหาฆาตกรต่อเนื่องนาม บัฟฟาโล่ บิลล์ แต่การจะจับคนร้ายรายนี้ก็ไม่ง่ายเพราะเขาทั้งฉลาดและสามารถปกปิดหลักฐานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหน้าที่สำคัญของแคร์ลิซก็คือการเข้าไปล้วงข้อมูลที่มีประโยชน์จาก ดร.ฮันนิบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ซึ่งก็ก่อเหตุสยดสยองมาก่อน ที่มากไปกว่านั้น เขายังเคยเป็นเจ้าของไข้ บัฟฟาโล่ บิลล์ ด้วย และมันก็ไม่ง่ายเลยที่แคร์ลิซจะได้ข้อมูลแต่ละอย่างมา

สงครามจิตวิทยาดูจะเป็นสิ่งถนัดของ ดร.ฮันนิบาล เขาจึงสร้างเงื่อนไขขึ้นมาว่า การจะได้เบาะแสนั้นต้องแลกมาด้วยข้อมูลวัยเด็กของแคร์ลิซ

ทุกอย่างดูค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง การเข้าใกล้ตัวฆาตกรคืบคลานเข้ามา แต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การฆาตกรรมที่ไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น และ ดร.ฮันนิบาล ก็หายตัวไป!

ภาพยนตร์มีชั้นเชิงในการเล่า สามารถสร้างอารมณ์ร่วมและทำให้ผู้ชมคล้อยตามได้ ดนตรีประกอบยิ่งทำให้มีความระทึกขวัญ สร้างความหวาดหวั่นและความกลัวทวีคูณ คอภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนต้องดู!

American History X (1998)

IMDb Rating 8.5

เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังที่ฝังรากลึก ไม่แน่ว่าสักวันมันอาจโดนอะไรบางอย่างถอนรากถอนโคนขึ้นมา American History X พูดถึงการเหยียดผิว ชนชั้น และเชื้อชาติ ซึ่งแสดงนำโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ที่ต้องถ่ายทอดความคิดของตัวละครตัวเดิมในแบบที่ต่างออกไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

เดเร็ค วัยรุ่นอเมริกันที่นับถือลัทธินีโอ-นาซีแบบสุดโต่ง เหยียดผิวและรังเกียจคนผิวสีอย่างรุนแรง ซ้ำยังเป็นหัวหน้าแก๊งที่คอยสร้างเรื่องและก่อกวนคนผิวสีอยู่เสมอๆ เขาเปรียบเสมือนผู้นำในการปลุกระดมความคิดความเกลียดชังต่อคนผิวสี

เดเร็คมีน้องชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่หนึ่งคนชื่อแดนนี่ แดนนี่ชื่นชมพี่ชายตัวเองและดูเขาเป็นต้นแบบเสมอ แต่ความรุนแรงย่อมนำมาซึ่งอาชญากรรม เดเร็คลงมือฆาตกรรมชายผิวสีอย่างไม่ปรานี โทษฐานที่เขาพยายามมาปล้นรถของเดเร็ค การกระทำเกินกว่าเหตุนี้ส่งผลให้เขาถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 3 ปี

เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อตัวเองเป็นเด็กใหม่ เราก็ต้องมองหากลุ่มเพื่อนใหม่ เดเร็คเข้าร่วมกับแก๊งๆ หนึ่งในคุก แน่นอนว่ามันคือแก๊งคนขาว แล้ววิถีชีวิตของเขาก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไป เวลาล่วงผ่านไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดเหตุการณ์แตกหักก็มาถึง และกลายเป็นบทเรียนราคาแพงระยับสำหรับเดเร็ค ทั้งศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจ ความเชื่อใจ ทั้งหมดถูกพรากไปในครั้งเดียว

ความแตกต่างของสีผิวไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเราจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ และแม้จะมีสีผิวเหมือนกัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดความอ่านเราจะเหมือนกันไปเสียทุกเรื่อง ชีวิตของเดเร็คบอกเราอย่างนั้น และก่อนที่จะได้แก้ไขสิ่งที่ตัวเองเพาะไว้ มันก็อาจสายไปเสียแล้ว เมล็ดพันธุ์นั้นได้แตกหน่อออกผลจนเราไม่อาจรั้งไว้ได้ทัน

Tags: ,