ตั้งแต่นิทานอีสป เทพนิยาย วรรณกรรมคลาสสิก เทพปกรณัม
มาจนถึงงานวรรณกรรมสมัยใหม่
ไม่มียุคไหนเลยที่ความทุกข์ระทมและความขัดแย้งใน ‘วรรณกรรม’
เหล่านั้นจะไม่เกี่ยวพันกับครอบครัว
แม้จะไม่มีข่าวดาราทะเลาะกับแม่ให้เสพอยู่เนืองๆ ฉันคิดว่าเราทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีพื้นที่ไหนในชีวิตที่รบกวนจิตใจเราได้มากเท่ากับเรื่องครอบครัว
ตั้งแต่นิทานอีสป เทพนิยาย วรรณกรรมคลาสสิก เทพปกรณัม มาจนถึงงานวรรณกรรมสมัยใหม่ ไม่มียุคไหนเลยที่ความทุกข์ระทมและความขัดแย้งใน ‘วรรณกรรม’ เหล่านั้นจะไม่เกี่ยวพันกับครอบครัว ตั้งแต่ลูกเลี้ยงแม่เลี้ยง พ่อแม่จริงพาลูกไปปล่อยในป่า ลูกสาวถูกสาปโดยพ่อแท้ๆ ของเธอ พ่อที่จับลูกไปขังไว้บนหอคอย พ่อแม่ที่จับลูกใส่ตะกร้าลอยน้ำไป การควักลูกตาของพี่น้องกิน ฯลฯ ไม่นับนวนิยายสมัยใหม่ที่แกนกลางของมันวนเวียนอยู่กับความขัดแย้งระหว่างผัวเมีย ชู้ รักต้องห้าม
ดังนั้นจึงประจักษ์แจ้งแก่ใจเราแล้ว ‘ครอบครัว’ เป็นอาณาบริเวณแห่งปัญหาและความทุกข์ แต่แปลกไหม ทั้งๆ ที่เรารู้ เราเห็น เราอ่าน แต่เราไม่เคยที่จะไม่ฝันถึงครอบครัวอันเปี่ยมไปด้วยความรัก ความอบอุ่น และปราศจากปัญหา
เรามีแนวโน้มจะเชื่อ ความรักในครอบครัวสร้างได้ ถ้าเราทำงานหนักกับมันมากพอ เราเชื่อว่าความสงบสุขในครอบครัวสร้างได้ ถ้าเราทุ่มเทมากพอ เราเชื่อว่าลูกที่ดีสร้างได้ ถ้าพ่อแม่ให้เวลาใส่ใจ ให้ความอบอุ่น แน่นอนมีหนังสือเป็นร้อยเรื่องที่เขียนขึ้นมา ‘สอน’ เราว่าจะสร้างครอบครัวที่เป็นสุขขึ้นมาได้อย่างไร (หากล้มเหลว เราก็พร้อมจะนั่งตรวจสอบตัวเองว่า มีตรงไหนที่เรายังทำไม่พอ ซึ่งทำให้เครียดหนักขึ้นไปอีก)
ฉันรู้จักคนเยอะมากที่มีครอบครัวอันอบอุ่น อยู่เย็นเป็นสุข พ่อดี แม่น่ารัก ลูกๆ ประสบความสำเร็จ แผ่ขยายความเป็นครอบครัว ‘ดีๆ’ ออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเป็นเช่นนี้ พอหันมามองครอบครัวตนเอง หลายครั้งเราอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ว่า ‘เอ๊ะ ทำไมครอบครัวเรามันกะปลกกะเปลี้ย’
เราทำอะไรผิดหรือเปล่า?
เราทุ่มเทน้อยไปหรือเปล่า?
สารภาพว่า บางทีการนั่งดูเฟซบุ๊กแล้วเจอเรื่องราว รูปภาพ ว่าด้วยการกินข้าวกับพ่อแม่ การพาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือการพาพ่อแม่ไปกินอาหารดีๆ ในวาระโอกาสต่างๆ ฯลฯ
ชีวิตในโลกโซเชียลมีเดียของเราจึงเป็นโลกหน้าชื่นอกตรม
ดูปุ๊บ รู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่จัง ทำไมเราไม่พาพ่อแม่ไปเที่ยวบ้าง ทำไมเราไม่พาพ่อแม่ไปกินอาหารดีๆ ร้านดังๆ บ้าง หรือแม้กระทั่งรู้สึกผิดว่า การที่เราไม่สำแดงความรักต่อพ่อแม่หรือครอบครัวในโซเชียลมีเดีย มันแสดงให้เห็นถึงความเย็นชา ห่างเหินของเราที่มีต่อพ่อแม่หรือเปล่า?
และอย่างไม่น่าเชื่อ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันมีความเครียดในระดับที่เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ
เครียดว่าเราดูแลพ่อแม่น้อยไปไหม? เราทิ้งเขาเผชิญกับปัญหาอะไรต่างๆตามลำพังหรือเปล่า?
เรามีสมาชิกในครอบครัวที่น่าเป็นห่วง แต่เราเพิกเฉยต่อปัญหาจนมันเกินเยียวยาหรือไม่?
มันประหลาดมากว่า ทำไมฉันเพิ่งมาเครียดตอนนี้
ฉันเติบโตมาในบ้านที่พร้อมจะฆ่ากันทุกๆ สุดสัปดาห์ โตมากับพี่ป้าน้าอาที่มีความล้มเหลวในชีวิตอย่างสิ้นเชิง ย้ำว่าโดยสิ้นเชิง ทั้งไม่เรียนหนังสือ ทั้งไม่มีงานทำ ทั้งสำส่อนเละเทะ ทั้งตายด้วยเอชไอวี ทั้งตายด้วยการติดเหล้า ทั้งก่อปัญหา สร้างหนี้สิน ที่ตบตีลูกเมียก็มี – ฉันควรจะเป็นคนที่คุ้นชินกับสภาวะครอบครัวล้มเหลวมากกว่าใคร แล้วไยกระแดะมาทุกข์ว่า
“โอ๊ยย ทำไม บ้านตรูไม่น่ารัก อบอุ่น มุ้งมิ้ง รักกัน หอมแก้มกันเหมือนบ้านอื่นละหนอ”
และบอกตามตรงว่า สมัยก่อนฉันไม่เคยทุกข์สักนิดที่ต้องรายล้อมด้วยเหล่าญาติที่พิกลพิการ หาความดีความงามไม่ได้ เห็นลุงเมาเหล้า เที่ยวปั่นจักรยานขอเงินชาวบ้านครั้งละยี่สิบบาท ฉันยังขำ
เราต่างเสพด้านสว่างของกัน และเราก็พากันเชื่อว่าคงมีแต่เราที่มีความทุกข์
หรือมีแต่เราที่มีครอบครัวอันไม่ปกติ มีแต่เราที่มีครอบครัวอันล้มเหลวรุ่งริ่ง
เออ…แล้วฉันเพิ่งจะมาทุกข์อะไรตอนนี้ฟะ?
เดาว่าน่าจะเป็นอิทธิพลของโซเชียลมีเดียแน่ๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ – ใครจะโชว์รูปลุงติดเหล้าจนตายหรืออะไรคล้ายๆ กันใช่ไหม? ตัวฉันเองยังไม่เคยปริปากพูดถึงด้านมืดในชีวิตของตนเอง ไม่ใช่ว่าพื้นที่โซเชียลมีเดียมีไว้อวดเรื่องดีๆ แต่ฉันและคนอีกจำนวนไม่น้อยอาจคิดว่า เราอยากใช้พื้นที่นี้ส่งต่อพลังงานดีให้กันและกันมากกว่า
ชีวิตในโลกโซเชียลมีเดียของเราจึงเป็นโลกหน้าชื่นอกตรม
และโดยอ้อม ด้วยวิธีที่เราเลือก ‘เพื่อน’ เข้ามาอยู่ในโซเชียลมีเดียของเรา เรามีแนวโน้มที่จะคัดสรรคนคล้ายๆ กัน มีความสนใจร่วมกันมาแชร์ ‘พื้นที่’ ร่วมกัน และโดยไม่รู้ตัว เราได้ทำลายความแตกต่างหลากหลายของ ‘ชีวิต’ ที่เราร่วมเสพที่หน้าฟีดของเรา
เพื่อนในโลกโซเชียลมีเดียของฉันร้อยละ 95 มีชีวิตที่ sane and decent – และโดยไม่รู้ตัวอีกนั่นแหละที่ฉันลืมไปว่านี่ไม่ใช่โลกทั้งใบ
เมื่อ ‘ลืม’ ฉันจึงหันกลับไปมองครอบครัวตัวเองแบบ ‘เครียดว้อย’ ทำไมหาความ sane หาความ decent ไม่เจอละเนี่ย
เราต่างเสพด้านสว่างของกัน และเราก็พากันเชื่อว่าคงมีแต่เราที่มีความทุกข์ หรือมีแต่เราที่มีครอบครัวอันไม่ปกติ มีแต่เราที่มีครอบครัวอันล้มเหลวรุ่งริ่ง
วันนี้ความเครียดของฉันทุเลาลงแล้ว เมื่อยอมรับว่า เราไม่จำเป็นต้องดูแลแม่ของเราให้เป็นสูตรสำเร็จเหมือนคนอื่นๆ
ฉันชอบกินข้าวนอกบ้านกับเพื่อนมากกว่ากินกับพ่อแม่ แม้จะชอบกินอาหารฝีมือแม่ ฉันชอบเที่ยวกับเพื่อนมากกว่าเที่ยวกับครอบครัว และการไม่โทรหาแม่บ่อยๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องผิด ตราบเท่าที่เรารับโทรศัพท์จากเขาเสมอ
ความเครียดของฉันทุเลาลงมหาศาลเมื่อตระหนักว่า ‘ด้านมืด’
ไม่ใช่ บาดแผล ไม่ใช่ ‘ตำหนิ’ ของชีวิต
แต่คือส่วนหนึ่งของชีวิต และไม่จำเป็นต้องหันหลังให้มัน
หรือเครียดจนจะตายเมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
ในครอบครัวของเราอาจมีใครสักคนที่ไม่อยู่ใน ‘มาตรฐาน’ ของสังคม แต่เราไม่มีหน้าที่ไปกะเกณฑ์ชีวิตใครให้เขาต้องอยู่ใน ‘มาตรฐาน’ ใช่หรือไม่?
การที่ฉันไม่เครียดที่มีน้าขี้เมา เหลวแหลก ไม่ทำงาน ติดเอดส์ ไม่ได้แปลว่าฉันชอบมันและเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี แต่ประเด็นคือเราปฏิเสธการมีอยู่ของเขาในแบบที่เขาเป็นไม่ได้ แม้จะทำทุกวิถีทางแล้วเพื่อให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น และจบลงด้วยความล้มเหลว
การอยู่นอกมาตรฐาน ‘สังคม’ ไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ไม่ได้แปลว่า มันจะไม่มีสิ่งนี้ในโลก
ความเครียดของฉันทุเลาลงมหาศาลเมื่อตระหนักว่า ‘ด้านมืด’ ไม่ใช่ บาดแผล ไม่ใช่ ‘ตำหนิ’ ของชีวิต
แต่คือส่วนหนึ่งของชีวิต และไม่จำเป็นต้องหันหลังให้มัน หรือเครียดจนจะตายเมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
ขอแค่สาดแสงให้ด้านมืดได้เท่าที่เรามีกำลัง แต่ต้องไม่ลืมว่าความมืดย่อมเป็นส่วนหนึ่งของโลกเสมอ
ภาพประกอบ: Seph_S
Tags: dark side, คำ ผกา, opinion