ในทุกเดือนธันวาคมนิตยสาร ไทม์ จะเลือก ‘บุคคลแห่งปี’ ที่มีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกมากที่สุด ทั้งอิทธิพลด้านบวกและด้านลบ จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักที่ในปีนี้ ไทม์ เลือก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกาขึ้นแท่นเป็นบุคคลประจำปี จากผู้สร้างสีสันในสนามการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค่อยๆ แซงทุกคนจนขึ้นมาเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน และสุดท้ายเบียด ฮิลลารี คลินตัน ตัวเก็งประธานาธิบดี แตะเส้นชัยเข้าทำเนียบขาวนั่งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ในท้ายที่สุด
ทรัมป์ไม่เพียงแต่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ชัยชนะของทรัมป์ยังสร้างแรงกระเพื่อมไปทุกวงการ ทั้งในสหรัฐฯ และทุกทวีปทั่วโลก จนมีคำอย่าง ‘Post-Obama Era’ (ยุคหลังโอบามา) หรือ ‘Trumpism’ (ความเป็นทรัมป์) ให้ได้เห็นในหลายสื่อต่างประเทศ ที่พากันตั้งคำถามว่า เมื่อทรัมป์มาแล้ว นโยบายต่างประเทศจะเป็นอย่างไร? ทรัมป์จะทำอย่างไรกับโลกมุสลิม? เอเชียจะตั้งรับมือกับท่าทีของทรัมป์อย่างไร? ไปจนถึงว่า หรือนี่คือยุคสิ้นสุดการเป็นตำรวจโลกของสหรัฐฯ จากที่วางบทบาทตัวเองเป็นผู้พิทักษ์โลกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง? รวมไปถึงชัยชนะของทรัมป์ที่ทำให้เกิดการประท้วงต่อผลการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในอเมริกา
จน ไทม์ ต้องยกให้เป็นผู้นำประเทศที่อยู่บนความแบ่งแยก และแตกร้าว…
แม้ชัยชนะของทรัมป์จะค้านสายตาของผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นปัญญาชนในสหรัฐฯ แต่นิตยสาร ไทม์ มองว่า คำเหยียดหยามพวกนี้เหมือนลมและแดดที่ทำให้ทรัมป์แกร่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถครองหน้าหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ สื่อสารกับคนธรรมดาสามัญทั่วไปได้อย่างเข้าถึง หรือกลุ่มคนที่ทรัมป์เรียกพวกเขาว่า ‘The Forgotten’ (คนที่ถูกลืม) คือคนที่มีรายได้เป็นรายชั่วโมง คนที่รองเท้าไม่เคยแตะพรม ซึ่งกระจายอยู่เป็นวงกว้างทั่วประเทศ และมีมากเป็นจำนวนหลายล้านคน จนกลายเป็นคลื่นพลังมหาศาลที่ทำให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งได้ในท้ายที่สุด
ในขณะที่ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ มักพูดถึงอนาคตที่สดใสหากประชาชนเลือกพวกเขา ทรัมป์กลับพูดถึงโลกที่ไม่สวย วันนี้ที่ไม่มีอะไรจะกิน ทรัมป์ปลุกความคับแค้นที่ฝังอยู่ข้างในใจของคนบางกลุ่ม
จนพวกเขาไม่ได้เลือกทรัมป์ด้วยความหวัง แต่ด้วยความโกรธ และความกลัว
นักข่าวประจำนิตยสาร ไทม์ เปิดเผยว่า ขณะที่กำลังสัมภาษณ์ทรัมป์เกี่ยวกับคำพูดสวยหรูของโอบามา ทรัมป์ขอหยุดการสัมภาษณ์ และหายไปชั่วครู่ จากนั้นกลับมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ที่หน้าแรกพาดหัวข่าวว่า ‘แก๊งต่างชาติก่อเหตุรุนแรง’ พร้อมกับพูดว่า “คนพวกนี้มาจากรัฐตอนกลางของอเมริกา พวกเขาก้าวร้าวกว่าที่คุณคิด พวกเขาฆ่าและข่มขืนคนทั่วไป คนพวกนี้ผิดกฎหมาย แต่ก็ยังลอยนวลได้อยู่”
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าอุดมการณ์ของโอบามามองข้ามความเป็นจริงข้อนี้ไป
เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ปกป้องงาน 1,000 ตำแหน่ง ในรัฐอินดีแอนาไม่ให้หลุดไปเม็กซิโก อีกทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่คาดการณ์ว่า มีโอกาสถึง 65% ที่ตลาดหุ้นจะพุ่งแรงในปี 2017 แต่ในอีกฟากหนึ่ง ก็ยังมีเด็กๆ เชื้อชาติที่ไม่ใช่อเมริกันตื่นมาในทุกเช้าพร้อมกับคำถามว่าวันไหนพวกเขาจะโดนส่งกลับประเทศ?
นี่ยังไม่รวมเหล่านักศึกษามุสลิมในนิวยอร์กถูกข่มขู่และเย้ยหยันด้วยถ้อยคำของทรัมป์
ชัยชนะของทรัมป์ทำให้ทั้งคนที่เคยไร้อำนาจกลับมาเรืองรอง พร้อมๆ กับคนที่เคยมีพื้นที่รู้สึกโดนคุกคาม
ชัยชนะของผู้ชายคนนี้จึงมาพร้อมทั้งความหวังและความหวาดกลัว ที่อาจทำให้โลกดีขึ้นและแย่ลงไปในเวลาเดียวกัน
10 คนที่เข้ารอบสุดท้าย ‘บุคคลแห่งปี’ ของนิตยสาร ไทม์
Simone Biles
ในวงการกีฬาปีนี้ ไทม์ เลือก ซีโมน ไบลส์ นักกีฬายิมนาสติกวัย 19 ปี ที่คว้าเหรียญทองไป 4 เหรียญ และเหรียญทองแดงอีก 1 เหรียญ นำทีม ‘Final Five’ ของเธอชนะการแข่งขันโอลิมปิกที่รีโอเดจาเนโร และได้รับการยกย่องให้เป็นนักกีฬายิมนาสติกที่เก่งที่สุดในโลก
Hillary Clinton
แม้ทรัมป์จะได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีในท้ายที่สุด แต่คู่แข่งของเขาอย่าง ฮิลลารี คลินตัน ก็ถูก ไทม์ เลือกมาพิจารณาเช่นกัน เธอคือสตรีที่มีอิทธิพลต่อสหรัฐอเมริกามาก่อนทรัมป์ เพราะเธอเป็นทั้งสตรีหมายเลขหนึ่ง สมาชิกวุฒิสภา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่แม้จะแพ้การเลือกตั้ง แต่ก็ชนะ Popular Vote สะท้อนถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ที่การแข่งขันรุ่นแรง เชือดเฉือน และแบ่งแยกที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน
CRISPR Scientists
CRISPR Scientists คือกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่อาจทำให้คนทั้งโลกมีชีวิตยืนยาวขึ้นไปอีก ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ให้กับวงการแพทย์ CRISPR พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตัดแต่งดีเอ็นเอได้ ซึ่งจะช่วยให้นำสารพันธุกรรมที่ทำให้เกิดโรคออกไปจากร่างกายได้
Recep Tayyip Erdoğan
ประธานาธิบดีตุรกีที่ปกครองประเทศด้วยมาตรการที่เข้มงวดกว่าเดิม หลังจากทหารพยายามจะทำการรัฐประหารยึดอำนาจเขา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยการไล่จับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ไล่ข้าราชการหลายพันคนออก และสั่งปิดสำนักข่าวหลายสำนัก
Nigel Farage
ไนเจล ฟาราจ คือหัวหน้าพรรค UK Independence Party นักการเมืองจากฝั่งอังกฤษที่มีอิทธิพลต่อชาวอังกฤษในการโหวตสนับสนุน Brexit อีกปรากฏการณ์การเมืองที่สำคัญที่สุดของโลกในปีนี้ เขาใช้ Propaganda ที่ทำให้ชาวอังกฤษเลือกที่จะออกจากสหภาพยุโรปในโค้งสุดท้าย สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วยุโรปว่า สหภาพยุโรปจะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่
The Flint Whistleblowers
ลี แอนน์ วอลเตอร์ส (Lee Anne Walters) และครอบครัวของเธอที่อาศัยอยู่ในรัฐมิชิแกน พร้อมกับผู้อยู่อาศัยในเขตฟลินท์ ได้กลายเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม หลังจากลูกชายของวอลเตอร์สได้รับสารพิษจากน้ำประปาที่ไม่สะอาด นำไปสู่การตื่นตัวเรื่องปัญหาน้ำเสียที่ไม่เคยถูกแก้ไขอย่างจริงจัง
Beyoncé Knowles
ไทม์ เลือก บียอนเซ่ จากวงการบันเทิงเข้ารอบบุคคลแห่งปี 2016 นอกจากอัลบั้ม Lemonade ของเธอจะประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ด้วยการเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกแล้ว เธอยังใช้โอกาสนี้เพื่อพูดเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ ความรุนแรงที่ตำรวจกระทำต่อคนผิวสีในสหรัฐฯ และสิทธิสตรี จนเป็นอีกสตรีที่มีอิทธิพลต่อคนทั้งโลกในปี 2016
Narendra Modi
ประธานาธิบดีของอินเดียที่นำประเทศสู่การเป็นเศรษฐกิจใหม่ที่สำคัญของโลก อย่างไรก็ตามเขาเพิ่งสั่งยกเลิกธนบัตรมูลค่าใหญ่ที่สุดของประเทศ 500 และ 1,000 รูปี เพื่อต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าอาจไปชะลอการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ
Vladimir Putin
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียยังมีอิทธิพลต่อโลกอย่างต่อเนื่อง เขายังคงเป็นผู้นำที่ครองพื้นที่สื่อได้เสมอ ในปี 2016 รัสเซียเข้าแทรกแซงซีเรีย โดยอ้างว่าต้องการปราบกลุ่มไอเอส อีกทั้งหลักฐานที่แสดงว่ารัสเซียได้เข้าไปแฮ็กเซิร์ฟเวอร์ของ Democratic National Committee ของสหรัฐฯ
Mark Zuckerberg
มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กยังคงมีอิทธิพลต่อโลกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในปี 2016 เฟซบุ๊กมีผู้ใช้งานผ่านมือถือเกินหนึ่งพันล้านคนต่อวัน อย่างไรก็ตามปีนี้เขาถูกกดดันว่าเฟซบุ๊กเป็นช่องทางของการเผยแพร่ข่าวปลอมและบิดเบือนที่มีผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมา
อ้างอิง:
– http://time.com/time-person-of-the-year-2016-donald-trump-choice