นอกจากการเมืองกระแสหลักในโลกตะวันตกที่มาจากสหรัฐอเมริกา ในครึ่งปีนี้ เราคงได้ยินเรื่องราวร้อนแรงจากประเทศเม็กซิโกมากขึ้น เพราะเม็กซิโกจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 1 ก.ค. นี้

การเลือกตั้งรอบนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งที่ประเทศน้อยใหญ่ต่างจับตามอง ไม่ใช่เพียงเพราะว่าตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านอเมริกาเท่านั้น แต่เพราะตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโก มีสถานะเป็นประมุขของรัฐ เป็นผู้กุมอำนาจฝ่ายบริหาร และยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเม็กซิโก รวมถึงยังมีอำนาจแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ออกกฎหมาย และมีสิทธิยับยั้งกฎหมาย

และนอกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว เลือกตั้งครั้งนี้ยังรวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้บริหารท้องถิ่น รวมทั้งสิ้น 3,400 ตำแหน่งพร้อมกันทั่วประเทศ

นี่จึงถือเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ที่จะกำหนดทิศทางการเมืองของเม็กซิโก ทั้งในระดับภาพรวมของประเทศไปจนถึงระดับชุมชนท้องถิ่น

รู้จักประเทศเม็กซิโก             

เม็กซิโกปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ แบ่งการปกครองเป็นรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ใน 31 รัฐ และหนึ่งเขตนครหลวง ประธานาธิบดีจะมีวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี แต่สามารถดำรงตำแหน่งได้เพียงหนึ่งวาระเท่านั้น

ที่สำคัญคือ เม็กซิโกไม่มีตำแหน่งรองประธานาธิบดี แต่จะจัดสรรประธานาธิบดีชั่วคราวเพื่อรักษาการขณะที่ยังไม่มีผู้แทนคนใหม่มาดำรงตำแหน่ง

ระบบเลือกตั้งเม็กซิโก

ความน่าสนใจของระบบการเลือกตั้งในประเทศเม็กซิโกก็คือ กระบวนการทั้งหมดจะถูกจัดการและดูแลโดยองค์กรการการเลือกตั้งแห่งชาติ หรือ The National Election Institute (NEI) ซึ่งก่อตั้งในปี 1990 ที่อาจเทียบเคียงได้กับ กกต. หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งของประเทศไทย

NEI ถือเป็นองค์กรอิสระที่จะดูแลกระบวนการเลือกตั้งทุกส่วนของประเทศ ประกอบด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้งจำนวนเก้าคน ที่จะได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งก็เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใสของตัวองค์กรว่าจะดำรงความอิสระจากพรรคการเมืองได้มากน้อยเพียงใด

NEI ถือเป็นองค์กรอิสระที่จะดูแลกระบวนการเลือกตั้งทุกส่วนของประเทศ ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งก็เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใสของตัวองค์กรว่าจะดำรงความอิสระจากพรรคการเมืองได้มากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม นอกจาก NEI จะมีหน้าที่กำกับดูแลการเลือกตั้งทุกระดับภายในประเทศดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีหน้าที่จัดสรรและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง รวมถึงมีหน้าที่ในการกำหนดเวลาออกอากาศในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกด้วย

นอกจาก กกต.เม็กซิกันแล้ว ยังมีศาลเลือกตั้งแห่งชาติ (The Federal Electoral Tribunal) โดยเฉพาะ ที่ก่อตั้งในปี 1996 เพื่อทำหน้าที่รับคำร้องและตัดสินกรณีที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้ง มีอำนาจในการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน มีหน้าที่พัฒนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง รวมไปถึงการออกแบบองค์ความรู้หรือหลักสูตรเพื่อกำกับดูแลองค์รวมของกระบวนการเลือกตั้ง โดยศาลการเลือกตั้งแห่งชาติถือเป็นแขนขาสำคัญของการเลือกตั้งในเม็กซิโก นั่นเพราะศาลฯ ถือเป็นองค์กรตัวกลางในการจัดการกับความท้าทายต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการเลือกตั้งนี้

ที่ทางของชาวเม็กซิกัน ในการเลือกตั้งใหญ่

สำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไฆเม บีร์กิลิโอ นัวลาร์ต ซานเชซ (H.E. Jaime Virgillio Nualart Sanchez) เอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำเทศไทย กล่าวบรรยายสาธารณะ เรื่อง ‘กระบวนการเลือกตั้งในเม็กซิโก 2018’ ณ สถาบันพระปกเกล้า ว่า ความแตกต่างของการปกครองของเม็กซิโกและประเทศไทย ก็คือ เม็กซิโกมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐและเป็นผู้นำฝ่ายรัฐสภา และยังมีสภาท้องถิ่นที่แต่ละมลรัฐจะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนโดยตรง นั่นทำให้ประชาชนมีสิทธิและมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งได้ทางตรงทั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีและในตำแหน่งระดับท้องถิ่นต่างๆ

ไม่เพียงเท่านั้น รัฐธรรมนูญยังกำหนดเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้ง กำหนดไม่ให้มี ส.ส. หรือ ส.ว. จากพรรคการเมืองใดมีเก้าอี้ในสภาได้มากกว่า 2 ใน 3 ของสภา เพื่อให้แน่ใจได้ว่า การกำหนดกฎหมาย การออกนโยบาย หรือการดำเนินกิจกรรมต่างๆ จะไม่ถูกครอบงำโดยพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งมากเกินไป

พรรคการเมืองที่เข้าร่วมท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ มาจากสามกลุ่มพรรคการเมืองทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และยังมีกลุ่มผู้สมัครอิสระ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของเม็กซิโกที่จะอนุญาตให้มีผู้ท้าชิงตำแหน่งเป็นผู้รับสมัครอิสระได้

ถือเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของเม็กซิโกที่จะอนุญาตให้มีผู้ท้าชิงตำแหน่งเป็นผู้รับสมัครอิสระได้

พรรคการเมืองต่างๆ และผู้สมัครอิสระ ที่จดทะเบียนพรรคการเมืองและลงสมัครท้าชิงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จะมีสิทธิเข้าถึงเงินช่วยเหลือจากสาธารณะ ทั้งจากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมือง และเงินช่วยเหลืองบประมาณของรัฐโดยตรง เพื่อให้สามารถทำกิจกรรมทางการเมือง รณรงค์หาเสียง รวมถึงการวิจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ อันจะเป็นประโยชน์ต่อนโยบายสาธารณะเพื่อการพัฒนาประเทศ

ไม่เพียงแต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไปข้างต้น จะทำให้การเลือกตั้งเม็กซิโกได้รับความสนใจจากนานาประเทศเท่านั้น แต่การเลือกตั้งในครั้งนี้ยังมีโจทย์ใหญ่ให้ชาวเม็กซิกันต้องตุ้มๆ ต่อมๆ กันว่า ตัวแทนจากพรรค PRI (The Institutional Revolution Party) พรรคการเมืองเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1929 อันเป็นพรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จในฐานะผู้ครองเก้าอี้ประธานาธิบดีมาอย่างยาวนานมากกว่าเจ็ดวาระ จะได้เก้าอี้ไปอีกสมัย หรือจะเสียเก้าอี้เพื่อเปิดทางให้พรรคการเมืองอื่นเข้ามาบริหารประเทศบ้าง

นอกจากนี้ ยังมีปมปัญหาเรื่องการตรวจสอบและจัดการกับปัญหาที่สืบเนื่องมาจากการเลือกตั้งที่ดูจะไม่ค่อยโปร่งใส และอย่าลืมว่า ในฐานะเพื่อนบ้านรั้วติดกันกับสหรัฐอเมริกา ผู้นำคนใหม่นี้จะต้องเป็นแถวหน้า ผู้เผชิญกับแรงปะทะจากนโยบาย American First ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ดูไม่ค่อยจะรักกันสักเท่าไรนัก

Tags: , , ,