1.
ครอบครัวคเนลเลอร์ (Kneller) เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว มีลูกชายคนเดียว ชื่อเรเน่ (Rene) อายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น ในเดือนกรกฎาคม 1942 กองทัพนาซีเยอรมันเข้ายึดครองกรุงปารีสไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ อุดมการณ์นาซีถูกส่งต่อ นั่นก็คือต้องกวาดล้างคนยิวให้สิ้นซาก ว่ากันว่าคำสั่งอพยพคนยิวออกจากเมืองหลวงฝรั่งเศสทำให้มีการกวาดต้อนคนยิวถึง 13,000 คนใน 48 ชั่วโมง ไม่มีใครรู้ว่าปลายทางคือที่ไหน แต่แทบไม่มีใครพบเห็นคนเหล่านั้นอีกเลย
ครอบครัวคเนลเลอร์หลบหนีการกวาดต้อนครั้งนั้น โดยแอบไปอาศัยอยู่กับเพื่อนบ้าน นี่คือช่วงทุกข์ตรมที่สุดแห่งประวัติศาสตร์โลก ไม่นานพวกเขาก็ทราบข่าวว่า หมอประจำตัวของครอบครัวพวกเขามีช่องทางที่จะส่งคนยิวในฝรั่งเศสออกนอกประเทศผ่านทางโปรตุเกส ปลายทางคืออาร์เจนตินา ที่นั่นสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไปไม่ถึง มันปลอดภัยพอสำหรับครอบครัวและลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัว
20,000 ฟรังค์คือราคาที่ต้องจ่ายในการพาหลบหนี ครอบครัวคเนลเลอร์เดินทางไปพบหมอประจำตัว นายแพทย์ มาร์เซล เปทชู (Marcel Petiot) เงินถูกจ่ายเรียบร้อยแล้ว วันเดินทางถูกนัดหมาย ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลง
“อาร์เจนตินามีกฎต้องฉีดวัคซีนบางอย่างก่อนเข้าประเทศ” เป็นคำพูดของนพ.มาร์เซล ครอบครัวคเนลเลอร์จึงยินยอมให้แพทย์ประจำครอบครัวฉีดยาตามกฎของอาร์เจนตินาด้วยความไว้ใจ
แต่ยาที่ฉีดผ่านเข็มไม่ใช่วัคซีนอะไรทั้งสิ้น มันเป็นสารไซยาไนด์ที่มีฤทธิ์อันตรายถึงแก่ชีวิต นพ.มาร์เซลเฝ้ามองครอบครัวคเนลเลอร์ทั้ง 3 คนเจ็บปวดทรมานจนเสียชีวิต จากนั้นเขายึดเงินค่าเดินทาง ยึดทรัพย์สิน แล้วเดินทางไปบ้านที่ครอบครัวนี้อยู่ ก่อนหยิบเอาของมีค่าไปอย่างสบายใจ หากมีใครถาม คุณหมอจะบอกเพียงว่านี่คือการเรียกเก็บค่าพาตัวครอบครัวนี้หนีออกนอกประเทศเพิ่มเติม
ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินข่าวคราวของครอบครัวคเนลเลอร์อีกเลย เช่นเดียวกับคนยิวจำนวนมากที่หายไปในสงครามโลกครั้งที่ 2
2.
ชีวิตวัยเด็กของมาร์เซลไม่ราบรื่นนัก เขามีปัญหาทางจิตอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเป็นคนเรียนเก่ง ฉลาดเฉลียว แต่กลับมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม ด้วยวัยเพียง 11 ขวบ เด็กน้อยเอาปืนพ่อไปยิงที่โรงเรียน ข่มขู่เด็กผู้หญิงวัยเดียวกันให้มีอะไรด้วย เคยถูกพักการเรียนหลายครั้ง ระหว่างนั้นยังโดนตำรวจจับกุมเพราะชอบจุดไฟเผา วางเพลิงทำลายตู้ไปรษณีย์ และสถานที่หลายแห่ง ไม่นับนิสัยขี้ขโมย แต่เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยตัวเขาไป เพราะมีการประเมินว่าเด็กคนนี้ป่วยทางจิต จึงไม่มีใครคิดจะดำเนินคดีกับเขาอย่างจริงๆ จังๆ กลายเป็นการส่งต่อเชื้อร้ายให้ได้เติบโตต่อไปในภายภาคหน้า
สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ยิ่งถูกซ้ำเติมหนัก เมื่อถูกเกณฑ์เป็นทหารไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ความโหดร้ายของสงคราม เสียงปืนใหญ่ สนามเพลาะ การสู้รบที่ยืดเยื้อ ในที่สุดจิตใจของมาร์เซลเข้าขั้นผู้ป่วยทางจิตบอบช้ำยิ่งกว่าเดิม เขาขโมยของ ถูกสั่งพักงาน แต่เพราะกำลังพลในการสู้รบนั้นสำคัญ จะบ้าหรือไม่บ้าก็ช่าง ขอแค่รบได้เป็นพอ มาร์เซลจึงถูกส่งไปรบแนวหน้าจนได้รับบาดเจ็บจากการสูดดมแก๊สพิษ สุดท้ายกองทัพปลดเขาออกหลังเจตนาเอาปืนยิงเท้าตัวเอง เมื่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลทหาร หมอฟันธงว่าอาการทางจิตเขารุนแรงมาก แต่นั่นคือยุคบ้านเมืองพินาศ ไม่มีใครคิดจะทำอะไรถูกต้องสักอย่าง นอกจากมีชีวิตรอดไปวันๆ
สงครามจบสิ้น ความหัวดีและกฎหมายสนับสนุนการศึกษาแก่ทหารผ่านศึกทำให้มาร์เซลเข้าเรียนและจบเป็นแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นหมอที่หารายได้เสริมจากการแอบขายยาเสพติด รับจ้างทำแท้ง และลักขโมย จนสร้างรายได้พิเศษมากมายมหาศาล
ว่ากันว่าเหยื่อรายแรกที่ถูกเขาฆ่า คือลูกสาวคนไข้ของมาร์เซลเองซึ่งคบหากับเขา กระทั่งวันหนึ่งเธอหายตัวไปอย่างลึกลับ แม้จะมีคนสงสัยมาร์เซล แต่ก็ไม่มีใครสืบเสาะคดีนี้อย่างจริงจัง แถมในปีที่หญิงสาวหายตัว มาร์เซลลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นนายกเทศบาล แต่ทำงานได้เพียง 5 ปีก็โดนระงับการดำรงตำแหน่ง หลังพบการยักยอกเงินหลวง แม้มาร์เซลจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเลือกให้เป็นผู้แทนองค์กรปกครองท้องถิ่นอีก แต่ต่อมาก็โดนปลดออกหลังพบว่าเขายักยอกไฟหลวงมาใช้เอง
ชีวิตต่างจังหวัดจบลง มาร์เซลเดินทางเข้าสู่กรุงปารีส เริ่มต้นชีวิตใหม่จากนักการเมืองกลับคืนสู่อาชีพคุณหมอดังเดิม แต่ปารีสของมาร์เซลนั้นกลับไม่ได้มีสีสันดังที่คาดหวังอีกต่อไป เพราะเพียงเวลาไม่นาน เยอรมันก็กรีฑาทัพมายึดครองฝรั่งเศส ปารีสจึงตกอยู่ใต้อำนาจของธงสวัสดิกะและกองทัพนาซีโดยสมบูรณ์แบบ
3.
ช่วงเวลาแห่งการยึดครองนั้น คุณหมอมาร์เซลมักจะบอกคนอื่นเสมอว่า เขาเข้าร่วมกับฝ่ายกบฏต่อต้านนาซี เป็นการบอกอย่างภาคภูมิใจโดยไม่คิดจะปิดบังอะไรทั้งสิ้น ช่วงเวลานี้เขาโด่งดังในฐานะคนที่พาครอบครัวคนยิวหนีออกนอกประเทศได้ ด้วยการจ่ายเงิน 20,000 ฟรังค์ มีคนหลงเชื่อจ่ายเงินให้เขาเป็นจำนวนมาก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงสงคราม
น่าแปลก ไม่มีใครเห็นคนยิวที่มาร์เซลพาตัวออกไปยังอาร์เจนตินาแม้แต่คนเดียว
นั่นแสดงว่า ทุกคนถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของหมอคนนี้
รูปแบบการฆ่าของหมอมาร์เซลนั้นใช้วิธีการไม่ยาก นั่นก็คือฉีดไซยาไนด์โดยอ้างว่าเป็นวัคซีนที่ทางการอาร์เจนตินาระบุว่าต้องฉีดก่อนจะเดินทางเข้ามา ความสยดสยองคือ มาร์เซลจะนั่งจ้องมองเหยื่อทรมานจนตาย เมื่อแน่ใจว่าเสียชีวิตแล้ว เขาจะเอาศพไปโยนทิ้งแม่น้ำแซน ศพหลายศพลอยขึ้นมาทำเอาคนปารีสตื่นกลัว เจ้าหน้าที่เร่งสืบสวนหาข้อเท็จจริง มาร์เซลเปลี่ยนวิธีการ โดยขนศพไปทิ้งใส่รถบรรทุกขยะ แต่ไม่นานก็มีคนพบชิ้นส่วนศพ
ในยามบ้านเมืองปกติ มันคงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องสืบหาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นี่คือช่วงสงคราม คนตายและชิ้นส่วนศพปรากฏให้เห็นเป็นประจำ ทหารเยอรมันเดินลาดตระเวนในต่างแดน กลุ่มกบฏต่อต้านผู้รุกรานพยายามโต้กลับ ตำรวจจึงสนใจชิ้นส่วนศพที่พบปริศนานี้น้อยเกินกว่าปกติ
หมอมาร์เซลรู้ว่าการทิ้งศพจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เขามีรายได้เพียงพอในการซื้อบ้านหรูในกรุงปารีส และดัดแปลงห้องใต้ดินเป็นสถานที่เผาทำลายศพ ว่ากันว่าเหยื่อของมาร์เซลไม่ได้มีเพียงคนยิวเท่านั้น แต่ยังมีฝ่ายต่อต้านเยอรมันที่มาร่วมทำงานเพราะคิดว่าหมอคนนี้คือพวกเดียวกับเขา ยังไม่นับเหล่าอาชญากรคดีเล็กๆ น้อยๆ ที่มาพึ่งมาร์เซลให้พาหลบหนี และบางทีอาจจะมีทหารเยอรมันหรือพวกฝรั่งเศสขายชาติตามที่เขาให้การในตอนหลังก็อาจเป็นไปได้ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ในเรื่องนี้
แต่เพราะความปากสว่างและขี้โม้ของมาร์เซลว่าอยู่ฝ่ายต่อต้าน จึงทำให้เขาถูกจับตามองจากหน่วยตำรวจลับเกสตาโปของนาซีเยอรมัน พวกนั้นคิดว่ามาร์เซลคือส่วนหนึ่งของเครือข่ายกบฏคนสำคัญ ในที่สุดเกสตาโปจึงบุกอุ้มมาร์เซลไปสอบสวนทรมานเพื่อรีดเอารายชื่อฝ่ายกบฏ แต่สุดท้ายหลายเดือนผ่านไป ไม่มีอะไรคืบหน้า รายชื่อที่มาร์เซลพูดมาไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่เกสตาโปมี เขาจึงถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา
ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อนบ้านแจ้งตำรวจว่าได้กลิ่นเหม็นเน่าจากบ้านของหมอมาร์เซล กลิ่นเหม็นนี้มากับควันที่ลอยออกมาจากเตาผิง เจ้าหน้าที่รีบเดินทางไปเพราะกลัวไฟไหม้บ้าน เมื่อเข้าค้นบ้าน พวกเขาไม่พบตัวมาร์เซล เจ้าหน้าที่จึงลงไปดูชั้นใต้ดินก่อนพบความจริงอันน่าสะอิดสะเอียน
ตำรวจพบซากศพที่ชั้นใต้ดินเป็นจำนวนมาก บางศพถูกเผาไม่หมด จึงมีกลิ่นเหม็นเน่า ตำรวจที่ไปตรวจสอบถึงกับอาเจียนออกมา ก่อนระดมกำลังเจ้าหน้าที่มาคัดแยกศพ นั่นทำให้ความจริงอันน่าสยดสยองเป็นที่รับทราบกันทั่วปารีสว่า หมอมาร์เซลคือฆาตกรสุดโหด เจ้าหน้าที่คัดแยกพบว่าในชั้นใต้ดินของบ้านหลังนี้มีร่างมนุษย์ 27 ร่างด้วยกันทั้งชาย หญิง และเด็ก และยังมีซากศพที่ไม่สามารถระบุได้อีกเป็นจำนวนมาก
ในที่สุด 3 เดือนก่อนวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ซึ่งจะมีปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตร นั่นคือการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ฝรั่งเศส และเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบในการยึดครองยุโรปของนาซี เจ้าหน้าที่ประกาศจับหมอมาร์เซลฐานฆาตกรรมทันที
แต่มาร์เซลจมูกไว หลังถูกปล่อยตัวจากการทรมานของเกสตาโป เขาก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ถ้าไม่ถูกฝ่ายเยอรมันฆ่า ก็มีโอกาสที่จะโดนทางการจับตัว เขาจึงไปอยู่กับขบวนการใต้ดินของฝรั่งเศส เปลี่ยนชื่อ ไว้หนวดเครา แล้วหลอกฝ่ายกบฏว่ากำลังถูกไล่ล่าจากพวกนาซี เพราะวีรกรรมที่ได้ฆ่าเจ้าหน้าที่เยอรมันไว้
ภายหลังพบศพ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบ้านเกิดเหตุโดยละเอียด ก่อนพบความจริงว่า ไม่ใช่เพียงการฉีดยาฆ่าคนเท่านั้น แต่หมอมาร์เซลยังไปไกลมากถึงขนาดติดตั้งระบบแก๊สในห้องหนึ่งของบ้าน เพื่อรมควันเหยื่อ เป็นแก๊สชนิดเดียวกับที่พวกนาซีใช้รมควันคนยิว นอกจากนี้ยังพบจดหมายของเหยื่อที่เขียนทิ้งไว้ให้มาร์เซล เพื่อฝากคุณหมอมอบให้คนรู้จักหลังเดินทางไปสู่ที่ปลอดภัยแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ตำรวจยังพบทรัพย์สินของเหยื่อที่หมอมาร์เซลเก็บไว้เป็นจำนวนมหาศาล ตีทรัพย์สินเป็นมูลค่าถึง 200 ล้านฟรังค์เลยทีเดียว
ความสยดสยองที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสช่วงการยึดครองถูกไขกระจ่าง มันถูกดำเนินการโดยนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นกลุ่มต่อต้าน แต่แท้จริงแล้วเขาคือฆาตกรต่อเนื่องในยุคที่คำนี้ยังไม่ถูกนิยามออกมาด้วยซ้ำ
นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังพยายามสืบเสาะว่า ตัวหมอมาร์เซลได้ช่วยชีวิตใครจริงๆ บ้างหรือไม่ในช่วงนั้น ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่คนเดียว ใครที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากมาร์เซลด้วยความหวัง ล้วนต้องพบกับความตายทั้งสิ้น
4.
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคงดำเนินต่อไป กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรพยายามจะฝ่าวงล้อมของเยอรมันเพื่อจบสงครามให้ได้โดยเร็ว แต่ก็ถูกต้านทานอย่างหนัก ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 1944 ชายคนหนึ่งที่สถานีรถไฟจำหน้ามาร์เซลได้ ตอนนั้นคนปารีสรู้แล้วว่าคุณหมอคนนี้คือฆาตกรสุดสะพรึง พยานแจ้งตำรวจ เจ้าหน้าที่ตรงเข้าจับกุมหมอมาร์เซลทันทีและนำตัวเข้าคุมขัง รอการพิจารณา ทุกอย่างจะเริ่มต้นภายหลังสงครามในยุโรปสิ้นสุดลงก่อน
เมื่อนาซีพ่ายแพ้ ยุโรปกลับคืนสู่สันติภาพ ฝรั่งเศสปลอดจากการยึดครอง ในปี 1946 พวกเขานำตัวหมอมาร์เซลมาพิจารณาโทษ คาดการณ์ว่า ‘ดร.ซาตาน’ ซึ่งเป็นชื่อที่สื่อตั้งให้ น่าจะฆ่าเหยื่อไปในช่วงสงครามโลกกว่า 60 ศพด้วยกัน
หมอมาร์เซลแย้งว่า คนที่ถูกเขาฆ่าคือพวกฝรั่งเศสขายชาติและพวกนาซีเยอรมันต่างหาก หลายคนเป็นตำรวจลับเกสตาโปด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรผิด นอกจากทำหน้าที่ของผู้รักชาติ เช่นเดียวกับคนฝรั่งเศสหลายคนที่ทำในช่วงสงคราม ที่สำคัญคือคนยิวที่เขาช่วยเหลือทุกคนก็อยู่อย่างสุขสบายดีที่อาร์เจนตินา ภายใต้ชื่อและตัวตนปลอม
แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อคำให้การเท็จนี้ พยานหลายคนบอกว่าไม่มีใครพบคนยิวเหล่านั้นอีกเลย ทั้งที่ฝรั่งเศส อาร์เจนตินา หรือที่ไหนๆ ในโลก สุดท้ายศาลจึงมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตฆาตกรรายนี้ด้วยเครื่องประหารกิโยติน เป็นการปิดฉากชีวิตสุดโหดที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญเพื่อนมนุษย์คนอื่นที่หวังหลบหนีจากภัยนาซี แต่สุดท้ายกลับตกเป็นเครื่องมือของฆาตกรโหดที่พรากทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แถมยังมีหน้าบอกคนอื่นว่า ตัวเองเป็นผู้รักชาติที่ต่อต้านการยึดครองของนาซีได้อย่างหน้าตาเฉย
ขณะเดินเข้าสู่ลานประหาร กิโยตินถูกตั้งไว้รอการบั่นคอ พยานบอกว่าหมอมาร์เซลเดินเข้าสู่เครื่องประหารเหมือนกับเดินไปพบคนที่นัดไว้ตามปกติ
เรื่องราวของหมอมาร์เซลถูกเล่าขานเคียงข้างประวัติศาสตร์แห่งการไม่ยอมจำนนของคนฝรั่งเศส ภายใต้การยึดครองของนาซีและความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในช่วงที่จะถูกประหารนั้น มาร์เซลได้หันมาพูดกับฝูงชนเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“สุภาพบุรุษทั้งหลาย นี่เป็นการจบชีวิตที่โหดร้ายมาก มันเป็นภาพที่ไม่อภิรมย์นัก ดังนั้นผมจึงขอร้องทุกคนว่า อย่าดูเลยครับ”
ข้อมูลอ้างอิง
1. https://www.thefamouspeople.com/profiles/marcel-petiot-26238.php
4. https://www.mirror.co.uk/news/world-news/the-grisly-story-of-marcel-petiot—303745
Tags: ฆาตรกรต่อเนื่อง, Haunted History, มาร์เซล เปทชู