มันเป็นเรื่องของหลิน (พลอยไพลิน ตั้งประภาพร) สาวแว่นจืดๆ ที่คบกับพี่ต่อแฟนหนุ่มหล่อมาหลายปี หลังเรียนจบพี่ต่อกลายเป็นนักร้องชื่อดังทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินขึ้นทุกที แต่สิ่งสำคัญที่เป็นอุปสรรคจริงๆ แลัวหลินไม่ยอมบอกคือการที่หลินเห็นผีตลอดเวลา เห็นมาตั้งแต่เด็ก และไม่อาจหลบเลี่ยง เธอเลยดูเป็นคนพิลึก ตกใจง่าย เป็นอะไรไม่บอก ถึงที่สุดทั้งคู่ก็เลิกกัน 

พี่ต่อเคยบอกรักหลินที่กิ่วแม่ปาน เริ่มที่ไหนต้องจบที่นั่น เธอตัวคนเดียวเลยเดินทางขึ้นเหนือไปเคลียร์ใจ ระหว่างทางนั้นเองเธอได้พบกับพุฒิ (มาริโอ้ เมาเร่อ) หนุ่มมือเขียนบทอกหักที่พยายามจะทำชีวิตให้ดีขึ้นด้วยการรับจ้างเขียนบทหนังผี พุฒิขึ้นมาค้นข้อมูลเรื่องผีที่เดียวกัน หลังจากเกิดอุบัติเหตุนี่นั่น หลินกับพุฒิก็ติดมาด้วยกันจนถึงเกสท์เฮาส์ในหุบเขาของพี่โอม (โจ๊ก อัครินทร์) หนุ่มกรุงที่พ่ายรักจนต้องมาพักเปิดโฮมเสตย์ไกลผู้คน ในนอกฤดูท่องเที่ยวสมาชิกโฮมสเตย์มีแต่คนถูกเททั้งสิ้น และนี่คืีอช่วงเวลาพักใจไปพบรักของพวกเขาในฤดูโลว์ซีซัน

ในท่วงทำนองเดียวกับหนังโรแมนติกคอมเมดี้ เรื่องราวของหนังคาดเดาได้ตั้งแต่เห็นตัวอย่างและไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น สำหรับหนังเหล่านี้ เรื่องที่จะเล่าสำคัญน้อยกว่าว่าจะเล่าอย่างไรและจะสื่อสารเคมีของนักแสดงออกมาได้อย่างไรที่จะทำให้ผู้ชมเชื่อ ในเรื่องรักที่เต็มไปด้วยการปรุงแต่งจัดวาง ส่วนหนึ่งของความบังเอิญ อีกส่วนหนึ่งของพรหมลิขิตและอีกส่วนหนึ่งที่ผู้ชมหลับตาข้างหนึ่งให้ 

หากความน่าสนใจของ สุขสันต์วันโสด ซึ่งอาจจะเป็นทั้งสิ่งที่ช่วยส่งเสริมและทำลายหนังได้เท่าๆ กันคือการใส่อาการ ‘เห็นผี’ เข้ามาในหนัง นี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกของ นฤบดี เวชกรรม อดีตทีมงานแนวหน้าของสาระแนที่ทำหนังมาแล้วอย่างน้อยหกเรื่อง และหากนับจริงๆ จากสูตร มาริโอ้ + การเห็นผี และสาวงาม เราอาจบอกได้ว่านี่คือภาคสามของไตรภาคเห็นผีนับจาก สาระแนสิบล้อ (2010) และ สาระแนเห็นผี ที่ออกฉายในปีเดียวกันและมี ชมพู่ อารยา และ อั้ม พัชราภา มาเป็นสาวงามประจำเรื่อง 

หนังชุดสาระแนมีความพิลึกพิลั่นของมันอยู่กล่าวคือมันมีสถานะคล้ายๆ ภาคฟิกชั่นของรายการตลกที่เต็มไปด้วยความไม่ pc รายการหนึ่งของเมืองไทย (ซึ่งก็ล้มหายตายจากไปตามการเมืองที่เคลื่อนไปสู่ความหลากหลายทางอัตลักษณ์) หนังชุดนี้เป็นเหมือนการฝันเปียกของกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายวัยมัธยมที่จับกลุ่มอยู่ด้วกยัน เล่นมุกตลกเหยียดคนอ้วน คนพิการ หรือการแสดงภาพความไม่สมประกอบเพื่อเอามาทำตลก การเล่นเกินเลยที่หยาบเสียจนไม่เหลือความนุ่มนวลอะไรนอกจากความห่ามของคนเล่น

ความหยาบของหนังในตระกูลนี้ชวนให้คิดถึง ความหยาบในหนังชุด หอแต๋วแตก ของพจน์อานนท์ หนังสองชุดนี้ (สาระแน และ หอแต๋วแตก) ในทางหนึ่งหยาบเสียยิ่งกว่าหนังตลกที่ทำโดยตลกซึ่งเฟื่องฟูในช่วงปลายยุค 90’s ต่อ 2000’s และหนังทั้งสองชุดนี้ก็สืบสายเลือดมา ซ้ำหลายครั้งก็ใช้บริการตลกเหล่านั้นด้วย หนังตลกของโน้ต เชิญยิ้ม หรือจตุรงค์ มกจ๊ก หรือแม้แต่ หม่ำ จ๊กมก อาจเต็มไปด้วยมุกตลกใต้สะดือ หากมันมีความนุ่มนวลแบบชาวบ้านขี้เล่น ในขณะที่มุกตลกแบบสรรหาคำด่าสารพัดมาสาดใส่กันในหนังชุดหอแต๋วแตก และการเล่นกับขี้เยี่ยวชวนขยะแขยงของหนังชุดสาระแน โดยมีร่มใหญ่เป็นตลกสังขาร เป็นความตลกหยาบเถื่อนที่มีลักษณะเฉพาะแบบมุกตลกในวงเหล้าสุดทางทั้งของกะเทยไทยและคนหนุ่มไทยต้นวัยทำงาน ที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างการเป็นชนชั้นกลางระดับกลางและระดับล่าง 

หากสิ่งที่โดดเด่นที่สุดข้างหลังความห่ามเถื่อน คือหนังทั้งสองเรื่องเป็น road movie ไปตามถนนชนบท ที่ฉายภาพของถนน หมู่บ้านเล็กๆ เมือง วัด โรงแรม หมู่บ้าน ที่ดูจริงมากๆ ในขณะเดียวกันผีในหนังทั้งสองเรื่องก็มีวิธีการนำเสนอที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นมรดกตกทอด ของนิตยสารเรื่องผี หรือเรื่องผีของใบหนาดที่ลงในหนังสือแปลก ประสบการณ์วิญญาณที่เขียนเข้าไปตามหนังสือใบ้หวย การแสดงภาพ ผีหัวขาด ตัวขาด ผีเด็กแว้น เปรต ผีนู่นนั่นนี่ (แม้แต่ผี transformer) ของหนังมันได้ผลมากและดูเป็นจริงมาก ซึ่งทางหนึ่งมันเป็นเพราะมันเป็นผีแบบที่เห็นได้ทั่วไปว่ามีความตายแบบนั้นเกิดขึ้น เรื่องผีแบบที่ไม่ได้คิดขึ้น แต่เคยได้ยินคนนั้นคนนี้เล่า และการโผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันทำให้ยิ่งเป็นเหมือนประสบการณ์เห็นผีที่ได้อ่านตามหนังสือมากกว่าหนังผีไทยยุคหลังที่พยายามจะทำ ‘ผีมีเหตุผล’ จนต้องเติมเรื่องเสียจนเสียความ

อย่างไรก็ตามการกลับมาของ ไตรภาคเห็นผี ในสิบปีให้หลังกลับน่าสนใจอย่างยิ่ง สาระแนสิบล้อ และ สาระแนเห็นผี เป็นหนังผีตลกที่วิ่งวนอยู่รอบตัวละครชาย (มาริโอ้) ที่พัฒนาความเป็นชายผ่านทางตัวละครประกอบที่ทั้งห่าม หยาบคาย และป่าเถื่อน และเหยียดคนอื่นไม่หยุดยั้ง ในขณะที่ สุขสันต์วันโสด หนังกลับมาพร้อมกับตัวละครหลักที่เป็นผู้หญิง และการค้นหาตัวตนของเธอเอง  ความนุ่มนวลของผู้หญิงทำให้ความหยาบโลนที่เคยเป็นเครื่องหมายการค้าของหนังถูกทอนออกอย่างน่าพอใจ ถอยไปเป็นรสชาติแปลกประหลาดที่เหยาะเข้ามาในเรื่อง สร้างความแปร่งเพี้ยนเฉพาะจนทำให้หนังไม่เป็นหนังรักโรแมนติกเชยๆ เฉยๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดึงไม่ให้หนังไปสุดทางในฐานะหนังโรแมนติกด้วย ความก้ำกึ่งทางอารมณ์นี้น่าสนใจยิ่งเพราะความห่าม บ้าบอของคนทำได้มอบรสชาติประหลาดเฉพาะตัวให้กับหนังมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่ถูกปากหรือไม่ก็ตาม 

ในฐานะของหนังรัก หนังพูดถึงการเรียนรู้ตัวเองของหญิงสาวคนหนึ่งที่เห็นผี การเห็นผีเป็นเครื่องแสดงตัวตนอันแตกต่างของเธอที่ต้องการใครสักคนที่ยอมรับในความแตกต่าง ผีในหนังมีหน้าที่ขับเน้นความแตกต่างตรงนี้ตรงนี้เช่นเดียวกันกับการเดินทาง ซึ่งที่จริงแล้ว สุขสันต์วันโสด ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Friendzone ที่ว่าด้วยคนหนุ่มสาวที่ออกเดินทางไกลเพื่อสำรวจใจตัวเอง Friendzone พูดถึงการเดินทางข้ามโลกเพื่อตามล้างตามเช็ดคนรักที่นอกใจโดยมีเพื่อนสนิทตามไปดูแล ขณะที่ สุขสันต์วันโสด เป็นเพียงการเดินทางข้ามภาคเพื่อชำระลางจิตใจและพบรักใหม่ เราอาจมองได้ว่านี่คือตัวละครชนชั้นกลางสองรุ่น รุ่นที่เรียนจบทำงานแล้วและมีเงินมากพอไปไหนต่อไหนในโลกฟูมฟายกับเพลงป๊อบเก่าๆ อย่าเพลงคิดมากของปาล์มมี่ ในขณะที่หลินที่เพิ่งเรียนจบ เด็กรุ่นหลังที่เริ่มเติบโตมาพร้อมกับการเกิดใหม่ของเพลงโฟล์ครุ่นเยาว์ในยุคสิบปีหลังที่มาทดแทนเพลงเพื่อชีวิต หรือเพลงในสายตระกูลเฉลียง ศุ บุญเลี้ยง หรือดนตรี กวี หนังสือทำมือ

การมุ่งกลับไปหาธรรมชาติแบบเพลงโฟล์ค และการเชื่อมต่อกับโลกทั้งใบแบบ MV ประชาคมอุษาคเนย์ร่วมใจในเพลง คิดมาก ฉบับประกอบหนังที่ร้องกันหลายภาษา ดูจะสอดรับกับความใฝ่ฝันแบบชนชั้นกลางไทยทั้งสองรุ่น ทั้งการมีชีวิตเรียบง่ายกับป่าเขาลำเนาไพรพอๆ กับการเป็น ‘ประชาชนโลก’ มากกว่าประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่การท่องเที่ยวและธุรกิจที่พัวพันกับการท่องเที่ยวเหล่านี้ไม่ได้มีหน้าที่พาพวกเขาออกไปพบ ‘โลกภายนอก’ อย่างแท้จริง ถ้าเราเข้าใจว่าการเดินทางคือการไปเห็นสิ่งอื่นการเรียนรู้เข้าใจปัญหาของเพื่อนร่วมโลก ที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง นำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ เข้าใจความซับซ้อนของปัญหาทางการเมือง อัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ การเดินทางในหนังทั้งสองเรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้น และไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนั้น 

ใน Friendzone เมืองเป็นเพียงฉากหลังที่เคลื่อนวูบไหวไปกับการฟูมฟายภายในที่ตัวละครเกือบทั้งหมดใช้เวลาไปบนเครื่องบิน ห้องโรงแรม ห้องอัดเสียงและแท็กซี่ เพื่อค้นพบเพียงภายในของตนว่าใครคือคนรักที่แท้ ไม่ต่างจาก สุขสันต์วันโสด ที่ชาวบ้านทุกคนถูกกวาดออกไปจนหมด นี่คือเรื่องของคนชั้นกลางในเมืองเดินทางไปพักใจต่างจังหวัด โดยเกสท์เฮาส์ที่เปิดโดยคนชั้นกลางในเมือง เพื่อคนชั้นกลางในเมือง แล้วชาวบ้านเป็นอะไรในหนังเรื่องนี้ คำตอบคือชาวบ้านเป็น ‘ผี’

ผีในหนังจึงไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆ มากกว่าปรากฏตัวให้เห็น ผีห่อลูกบนทางหลวง ผีชาวเขาในเกสท์เฮาส์ ไปจนถึง ‘พี่กะเรย์’ คนเห็นผีผีเห็นคน ที่รับบทโดยนาคร ศิลาชัย อันเป็นฉากยืดยาวที่จู่ๆ หนังก็กลับเป็นสาระแนอีกครั้ง ความหยาบเถื่อนที่ถึงขนาดเอานักแสดงกรุงเทพมาเล่นตลกเป็นชาวเขาแบบไม่มีความ PC ใดๆ สมราคาความห่ามแบบสาระแน ในขณะเดียวกันมันขับเน้นความจริงที่ว่า ไม่มีชาวบ้านจริงๆ อยู่ในการเดินทางนี้ทุกคนเป็นแค่ผีที่ไม่ถูกมองเห็น หรือหากถูกมองเห็นก็ไม่ถูกค้นหา ผีในที่นี้ก็ไม่ต่างจากคนขับรถแดง หรือลุงร้านชำ หรือไกด์ท้องถิ่น คนที่ถ่ายรูปหมู่ให้เหล่านักท่องเที่ยว แต่ไม่เคยปรากฏอยู่ในรูปถ่ายเพราะไม่ใช่คนที่มาด้วยกัน การปรากฏของผี การเห็นผี จึงเป็นเหมือนการเดินทาง ที่เรามองเห็นเขาเหล่านั้นเพียงชั่วคราวเมื่อต้องช่วงใช้ และสูญหายไปอย่างไม่มีผลอะไรกับเรา เพราะเราจะเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็นและนั่นคือภายใต้ตัวเราเอง

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เรื่องผิดบาปและไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่หนังอย่าง Friendzone และ สุขสันต์วันโสด จะต้องมีความระแวดระวังตัวทางการเมือง ไม่จำเป็นที่หนังโรแมนติกคอมเมดี้จะต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ อันที่จริงแล้วโดยเฉพาะ สุขสันต์วันโสด มันน่าดีใจด้วยซ้ำที่หนังหมุนตัวกลับไปเป็นหนังรักเต็มรูปแบบ และซื่อสัตย์มากพอที่จะไม่สั่งสอนผู้คนในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้เชื่อหรือในใส่ใจจริงๆ เช่นเรื่องของชาวเขาที่ทำนาขั้นบันไดเดียวดายคนนั้น 

ถึงที่สุด ไม่ว่าจะด้วยความรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สุขสันต์วันโสด ในฐานะหนังรักที่น่ารักและมีนักแสดงทั้งตัวหลักและตัวประกอบเปล่งประกายกันถ้วนหน้า กลับได้ช่วยให้เห็นแบบจำลองวิธีคิดการเดินทางแบบคนชั้นกลางหาเงินเพื่อเที่ยวปรนเปรอตนเองในสังคมที่ชีวิตประจำวันยากลำบากนี้ได้อย่างคมคายยิ่ง