ในโลกของนิยายดิสโทเปีย (Dystopia) ความเลวร้าย ความสิ้นหวัง และพังทลาย ถือเป็นพื้นฐานทางจิตนาการของโลกแบบนี้ เป็นการมองโลกแง่ร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สะท้อนความจริงในสังคมการเมืองที่ไร้ซึ่งทางเลือก ทุกคนในโลกนิยายต้องจำนนต่อสถานการณ์ที่โลกล่มสลาย

นั่นเป็นสิ่งที่เห็นได้ในนิยายดิสโทเปียทั่วไป แต่ เมืองในหมอก ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ นั้นแตกต่างออกไป ผู้เขียนคลายความสิ้นหวังของโลกดิสโทเปียด้วยความรัก ถ่ายทอดความเลวร้ายและความจริงผ่านนวนิยายได้อย่างแยบยล ขณะเดียวกันก็หยิบยื่นพลัง ความหวัง และอุดมการณ์ เพื่อก้าวผ่านโลกที่ล่มสลายนี้ไปให้ได้ เมืองในหมอกต่อต้านขนบนิยายดิสโทเปียอย่างชัดเจน จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นดิสโทเปียไม่สิ้นหวัง

หมอกสีเทา มหันภัยทางชีวิตและจิตใจ

นวนิยายเล่มนี้กล่าวถึงโลกในอนาคตที่หมอกสีเทาเข้าปกคลุมเมืองโดยไม่ทราบสาเหตุ สร้างความเลวร้ายแก่ประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อหมอกเข้ามา พวกมันได้คร่าชีวิตผู้คน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา จากสภาพอากาศที่เลวร้าย การคมนาคมในโลกใบนี้กลับกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะหมอกบดบังทัศนะในการมองเห็นทั้งหมด รถหลายคันพุ่งชนกัน หลายคันพุ่งลงสะพาน ดับชีวิตผู้คนลงอย่างน่าสะเทือนใจ

มหันตภัยหมอกสีเทาแสดงถึงความเท่าเทียมอย่างแท้จริง กล่าวคือหมอกสีเทาไม่เลือกชีวิตที่จะฆ่า ทุกคนทุกชนชั้นล้วนตายได้ทั้งนั้น หมอกสีเทาถือเป็นปัญหาของชาวเมืองทุกคน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะเสียผลประโยชน์จากหมอก เพราะในวิกฤตต่างๆ ย่อมมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีชีวิตดีกว่าคนกลุ่มอื่นๆ พวกนั้นหายใจในอากาศที่บริสุทธิ์กว่า กินอาหารที่คุณภาพดีกว่า นอนหลับในที่ที่ปลอดภัยกว่า และคอยกัดกินคนอีกกลุ่มอื่นๆ อย่างเลือดเย็น พูดง่ายๆ ว่า คนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

หมอกสีเทาปรับเปลี่ยนชีวิตของผู้คน ในช่วงแรกของการเกิดขึ้นของหมอก รัฐบาลในเมืองออกมาตรการให้ประชาชนใส่หน้ากากป้องกันมลพิษเวลาออกนอกที่พักอาศัย แต่เมื่อกลุ่มชนชั้นสูงเห็นโอกาสจากวิกฤต พวกเขาหันมาลงทุนกับธุรกิจหน้ากาก เพราะหน้ากากกลายเป็นสิ่งจำเป็นในโลกใบนี้  ทำให้โรงงานหน้ากากผุดขึ้นมากมาย เพื่อสนองความต้องการของประชาชนที่อยากมีชีวิตรอด พวกเขาทำกำไรมหาศาลจากธุรกิจนี้ บริหารธุรกิจอย่างสบายใจในห้องติดเครื่องฟอกอากาศ ห่างไกลจากหมอกสีเทา จนวันหนึ่งคนในเมืองก็ไม่รู้แล้วว่ากลุ่มชนชั้นสูงใช้ชีวิตกันอย่างไร พวกเขากลมกลืนไปกับหมอกไปเสียแล้ว

ขณะเดียวกัน กลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นล่างยังคงต้องเผชิญกับหมอกสีเทาทุกวัน ใส่หน้ากาก ใช้ชีวิตอยู่แค่พื้นที่ข้างนอก เดินทางไปกลับระหว่างที่ทำงานกับที่พักอาศัย หน้ากากกลายเป็นสิ่งแบ่งแยกชนชั้น ใครที่มีหน้ากากย่อมแสดงถึงชีวิตที่ดี สุขภาพที่ดี

เพื่อแก้ไขวิกฤตหมอกสีเทานี้ให้ได้ รัฐบาลสร้างโครงการลงทุนการวิจัยหมอกสีเทา โดยใช้เงินมหาศาลเพื่อหาวิธีชนะหมอกร้ายนี้ หลายโครงการได้รับเงินทุนแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นว่ารัฐบาลต้องลงทุนกับงานวิจัยนี้ไปเรื่อยๆ และหมอกสีเทาก็ยังคงอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะหายไป 

จิตใจของประชาชนจึงไร้ซึ่งความหวัง ต้องยอมจำนน และใช้ชีวิตท่ามกลางหมอกสีเทาที่ห่มคลุมและคอยกัดกินชีวิตของพวกเขา

นายหมอกสีเทาและเธอคนนั้น

นายหมอกสีเทาเป็นคนงานในโรงงานผลิตหน้ากากป้องกันมลพิษ พวกเขาเป็นผู้ที่มีอิทธิพลเหนือกลุ่มอื่นๆ เขาได้รับหน้ากากฟรีและใช้หน้ากากที่ดีที่สุดจากโรงงาน เขาเป็นกลุ่มที่คอยดูแลประชาชนภายใต้มหันตภัยแห่งหมอก ด้วยการผลิตหน้ากากที่ดี มีคุณภาพ นายหมอกสีเทาเป็นคนที่มีอุดมการณ์ที่จะช่วยเหลือประชาชนจากหมอกร้าย แต่อุดมการณ์ของเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงแค่บรรเทาปัญหาให้เบาบางลงเท่านั้น

กระทั่งนายหมอกสีเทาได้มาเจอหญิงสาวคนหนึ่งด้วยความบังเอิญ หลังจากเห็นเธอประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยว เขาเห็นเธอสวมหน้ากากรุ่นทดลองของโรงงานที่เขาผลิต แต่ด้วยความงดงามของเธอ แม้จะเห็นเพียงแค่ครึ่งบนของใบหน้า นายหมอกสีเทาก็สิ้นความสงสัย แล้วตัดสินใจเดินตามเธอไป

นายหมอกสีเทาตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง ราวกับตกอยู่ภายใต้อำนาจของเธอ จนเธอหยุดและเดินเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เขาตามเธอเข้าไปและสั่งกาแฟ นั่งหันหน้าเข้าหาเธอ โดยห่างกันเพียงหนึ่งโต๊ะ ระหว่างที่แอบดูเธอ เขาก็สังเกตบรรยากาศของร้านไปด้วย 

ภายในร้านทุกอย่างแทบจะเป็นปกติ ก่อนการมาถึงของความปกติใหม่อย่างหมอกสีเทา คนในร้านแทบใช้ชีวิตอย่างไม่คิดถึงภัยอันตรายรอบนอก ทุกคนดูสงบนิ่ง นายหมอกสีเทาทบทวนความคิด เพื่อจะก้าวข้ามความเลวร้ายอย่างมหันตภัยหมอก ก็ควรทำทุกอย่างให้เป็นปกติ วางตัวสงบต่อมัน ทำให้หมอกสีเทาเป็นได้เพียงสิ่งที่อยู่ภายนอกตัว สุดท้ายก็จะพิจารณาปัญหาได้อย่างถูกจุด

 ความคิดของนายหมอกสีเทาหยุดลง เขาสังเกตว่าเธอกำลังมองมาทางเขา เขาเบือนหน้าหนีเพื่อปิดบังความเขินอาย เธอลุกออกจากโต๊ะ เดินตรงมาหา หัวใจของเขาเต้นแรงเมื่อเธอเข้ามาใกล้ๆ แต่เธอกลับเดินผ่านเขาไปหาชายชราที่นั่งอยู่โต๊ะข้างหลัง เธอแนะนำตัวแก่ชายชราและพูดคุยถึงหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ นายหมอกสีเทาแอบฟังสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน เหลือบเห็นตัวเลข  ‘1984’ ปรากฏอยู่บนหน้าปกหนังสือเล่มนั้น

 เธอกับชายชราคุยกันถึงเนื้อหาในนิยายซึ่งความโหดร้ายในหนังสือเล่มนั้นทำให้นายหมอกสีเทารู้สึกหดหู่ตามไปด้วย เขาคิดว่าบิ๊กบราเธอร์ก็ไม่ต่างกับหมอกในโลกนี้ที่ผู้คนไม่รู้จะหาทางออกไปจากมันได้อย่างไร เขาสังเกตเห็นรอยยิ้มของเธอ รอยยิ้มอันร่าเริงสดใสท่ามกลางความโหดร้าย เขาจึงคิดได้ว่าตัวเองไม่ควรจำนนต่อสถานการณ์แบบนี้ การที่ก้าวผ่านความเลวร้ายต้องปราศจากความกลัวเสียก่อน เหมือนกับที่เธอยิ้มให้กับเรื่องราวที่ชายชราเล่าถึงความเลวร้ายในโลกนิยายเรื่อง ‘1984’ 

นายหมอกสีเทาลุกออกขึ้นจากโต๊ะ ออกจากร้านกาแฟ และไปลาออกจากงานที่เขาทำอยู่ เพื่อทำตามอุดมการณ์ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงความเลวร้ายจากวิกฤตหมอกสีเทา รอยยิ้มของเธอเปลี่ยนเขาที่เคยเต็มไปด้วยความหดหู่ ให้กลายเป็นคนใหม่ที่เปี่ยมด้วยความหวัง

‘อรุณรุ่ง’ หลัง ‘หมอกสีเทา’

ในโลกนิยายดิสโทเปียเล่มนี้ ผู้เขียนสร้างสรรค์นิยายที่เต็มไปด้วยความจริงอันแสนหดหู่ที่เราเห็นกันอยู่ในสังคมปัจจุบัน กล่าวถึงกลุ่มคนที่ถูกลืมทั้งที่พวกเขาทำหน้าที่สำคัญ กลุ่มคนที่ถูกทำลายด้วยระบบจนหมดหวัง และกลุ่มคนที่หาผลประโยชน์จากวิกฤต  พร้อมทั้งเปรียบเปรยความเลวร้ายอย่างมีชั้นเชิง สร้างจินตนาการในแง่ร้ายได้อย่างน่าสะพรึงกลัว

แต่ขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็หยิบยื่นความรัก และความหวังว่า เราสามารถที่จะก้าวผ่านมันไปได้ นิยายดิสโทเปียเล่มนี้จึงต่อต้านขนบนิยายดิสโทเปียปกติที่เปิดด้วยความเลวร้ายและจบลงด้วยความหดหู่ ทว่าผู้เขียนคลายเลวร้ายด้วยความรักและความหวัง เพื่อพบอรุณรุ่งหลังหมอกสีเทา

หนังสือโลกดิสโทเปียไม่สิ้นหวังเล่มนี้ อาจช่วยให้เรามองปัญหาในปัจจุบันได้อย่างมีความหวัง และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้วยความรัก เพราะพลังของความรักนั้นยิ่งใหญ่ ที่ผลักดันให้คนคนหนึ่งลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แม้นายหมอกสีเทาหรืออีกหลายคนอาจต้องพบกับความเลวร้ายแสนสาหัส แต่ทุกคนก็พร้อมยอมเสี่ยงกับมัน

Fact Box

เมืองในหมอก, เขียน: อนุสรณ์ ติปยานนท์, สำนักพิมพ์: ระหว่างบรรทัด, ออกแบบปก: Wonderwhale, จำนวนหน้า: 216 หน้า

Tags: , , ,