*ทั้งหมดเป็นรายงานเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการ

ตระกูลเทือกสุบรรณจ่อสอบตกหมดที่สุราษฎร์ธานี

ดูเหมือนว่าตระกูลเทือกสุบรรณจะสอบตกทั้งหมดในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ โดยเขต 1 ที่มีธานี เทือกสุบรรณ ผู้สมัครพรรครวมพลังประชาชาติไทยกลับมีคะแนนไม่ติดแม้แต่ 1 ใน 3 โดยภานุ ศรีบุศยกาญจน์ พรรคประชาธิปัตย์ คะแนนนำโด่งอยู่ที่ 27,983

เขต 4 เชน เทือกสุบรรณ แชมป์เก่าจากพรรคประชาธิปัตย์ พอย้ายมาอยู่พรรครวมพลังประชาชาติไทย มีคะแนนเป็นอันดับสอง โดน สมชาติ ประดิษฐพร จากพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งห่างเป็นหมื่นคะแนน

และเขต 6  ภูมิ เทือกสุบรรณ หลานสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็โดนธีรภัทร พริ้งศุลกะ พรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งห่างเป็นหมื่นคะแนนเช่นกัน

สรุปทั้ง 6 เขตของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนนำทุกเขต และผู้สมัครตระกูลเทือกสุบรรณดูเหมือนจะสอบตกทุกเขต

 

พลังประชารัฐกวาดที่นั่งที่โคราช

หนึ่งในพื้นที่ที่น่าจับตามองก็คือจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีจำนวน ส.ส. มากรองลงมาจากกรุงเทพมหานคร โดยมีถึง 14 ที่นั่ง โดยผลการนับคะแนนการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า พรรคพลังประชารัฐ สามารถกวาดไปได้มากที่สุดถึง 6 เขตเลือกตั้ง ส่วนอีก 4 เขตเลือกตั้ง เป็นของพรรคภูมิใจไทย ในขณะที่พรรคเพื่อไทยรั้งอันดับสาม ได้ไป 3 ที่นั่ง และพรรคชาติพัฒนาที่ถือเป็นเจ้าของพื้นที่ของโคราชมาตลอดกว่า 30 ปีได้เพียง 1 ที่นั่งในเขต 2

ความน่าสนใจของนครราชสีมาอยู่ที่เขต 1 ซึ่งแชมป์เก่าก็คือพรรคชาติพัฒนาซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่มากว่า 30 ปี สูญเสียเก้าอี้ให้กับพรรคพลังประชารัฐไป สำหรับเขต 4, 6, 7 และ 8 นั้นซึ่งตกเป็นของพรรคพลังประชารัฐนั้นคืออดีตเจ้าของพื้นที่ซึ่งย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย โดยในอดีตนั้น จังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย โดยได้ถึง 8 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2554 ในขณะที่การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเพียง 3 ที่นั่ง

สำหรับในนครราชสีมา มีบัตรเสีย 4 แสนกว่าใบ และโหวตโน 8 แสนกว่าใบ

กกต.แถลง 6 ประเด็น บัตรเสีย 5.6%

นายอิทธิพล บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ทั้งหมด 7 ประเด็นดังนี้

  1. มีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด ร้อยละ 65.96 จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 51,427,890 คน
    1. โดยบัตรเสียร้อยละ 5.6
    2. โหวตโนร้อยละ 1.5
  2. กรณีกระทำผิดกฎหมายที่คูหาเลือกตั้ง 28 กรณี
    1. ฉีกบัตรเลือกตั้ง 28 กรณี
    2. ถ่ายบัตรเลือกตั้งที่กาเรียบร้อยแล้ว 2 กรณี
  3. มีผู้โทรหาสายด่วน กกต. 1444 เพื่อโทรแจ้งกรณีทำผิดกฎระเบียบการเลือกตั้ง 90 เรื่อง
  4. ผู้ตรวจการเลือกตั้งตรวจพบกรณีผิดกฎระเบียบการเลือกตั้ง 7 เรื่อง มีทั้งข่มขู่ให้ลงคะแนน ขายสุรา ตลอดจนสวมสิทธิ์เลือกตั้ง
  5. กรณีการลงคะแนนนอกราชอาณาจักรเป็น 101,004 เสียง (คิดเป็นร้อยละ 84.7 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง)
  6. กรณีบัตรเลือกตั้งที่ถูกส่งมาจากสถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ 1,500 ใบ เสียทั้งหมด เรียงลำดับเหตุการณ์ดังนี้
    1. 18 มีนาคม บัตรเลือกตั้งอยู่ในคาโกร์ของสายการบิน New Zealand Airways
    2. 21 มีนาคม ส่งถุงเมลให้กับบริษัทการบินไทย
    3. 22 มีนาคม ตรวจสอบพบว่าถุงเมลค้างอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนก์
    4. 23 มีนาคม มาถึงตู้เก็บสินค้าของการบินไทยช่วงค่ำ ซึ่งขณะนี้็ยังอยู่ในคลังของการบินไทย
  7. คณะกรรมการการเลือกตั้งขอกล่าวขอบคุณทุกคนที่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ประธาน กกต. ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ผมไม่มีเครื่องคิดเลข” โดยนัดแถลงอีกครั้งในวันที่ 25 มี.ค. ที่สำนักงาน กกต.

อภิสิทธิ์ประกาศลาออกหัวหน้าพรรค รักษาสัจจะนักการเมือง

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แถลงหลัง กกต.นับคะแนนไปแล้วกว่า 90% โดย ปชป. ได้ที่นั่ง 35 ที่ โดยขอบคุณผู้มอบคะแนนเสียงที่ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าผลคะแนนยังไม่ยุติ แต่เป็นที่แน่ชัดว่า ผลการเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจ ไม่ว่าจะด้วยอันดับของพรรค และจำนวนทั้งนั่ง

“ต้องขอโทษผู้สนับสนุนพรรคทุกคน ที่ผมไม่สามารถผลักดันแนวคิดของเราให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ และขออภัยเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายหลายคนที่ตั้งใจ มุ่งมั่นจะเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ ทั้งอดีตสมาชิก ผู้สมัครครั้งแรก และคนรุ่นใหม่ ที่ตั้งใจสืบสานอุดมการณ์ของพรรค ไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเข้าสู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมต้องแสดงความรับผิดชอบ ผมขอลาออกจากหัวหน้าพรรคตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  และทำตามขอบังคับของพรรค คณะกรรมการของพรรคที่เหลืออยู่ จะเป็นผู้รักษาการแทน ร่วมกับสมาชิกของพรรค ก็จะเป็นผู็พิจารณาแนวทางของพรรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในสภา

“ขอบคุณพระคุณทุกท่านที่ให้พลังใจและสนับสนุนผมมา ผมขอเรียนว่าความตั้งใจของผมในการทำงานกับพี่น้องประชาชนและพรรคไม่มีเสื่อมคลาย ผมต้องรักษาคำพูด คือสัจจะของนักการเมือง ขอขอบพระคุณทุกคนอีกครั้งหนึ่งที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด”

พลังประชารัฐนำโด่งที่โคราช

หนึ่งในพื้นที่ที่น่าจับตามองก็คือจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีจำนวน ส.ส. มากรองลงมาจากกรุงเทพมหานคร โดยผลการนับคะแนนการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า พรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนนำอยู่ 6 เขตเลือกตั้ง ส่วนอีก 4 เขตเลือกตั้ง เป็นของพรรคภูมิใจไทย ในขณะที่พรรคเพื่อไทยรั้งอันดับสาม โดยในเขต 1 พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้นำ ส่วนในเขต 2 พรรคชาติพัฒนา เป็นผู้นำ

สำหรับเขต 4 6 7 และ 8 นั้นพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้นำ ซึ่งผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐนั้นคืออดีตเจ้าของพื้นที่ซึ่งย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย และในเขต 8 9 10 และ 14 พรรคภูมิใจไทยเป็นผู้นำ โดยในอดีตนั้นจังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยโดยได้ถึง 8 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2554 ในขณะที่การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเพียงอันดับสาม

 

เมื่อไทยรักษาชาติเทคะแนนให้อนาคตใหม่ที่ฉะเชิงเทรา

ความน่าสนใจของการเลือกตั้งในจังหวัดฉะเชิงเทราก็คือ ในเขต 1 และ 4 มีการคาดการณ์กันว่าฐิติมา ฉายแสงและวุฒิพงศ์ ฉายแสง จากพรรคไทยรักษาชาติ จะได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ยุบพรรคฐิติมา ฉายแสง จึงประกาศให้มวลชนของตัวเองเทคะแนนให้กับผู้สมัครจากอนาคตใหม่ ผลการนับคะแนนในตอนนี้เลยทำให้ผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ในเขต 1 และ 4 มีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยภาพรวมของฉะเชิงเทราในตอนนี้เป็นการต่อสู้กันระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งอาจจะแบ่งที่นั่งกันคนละครึ่ง โดยในขณะนี้ เขต 1พรรคอนาคตใหม่มีคะแนนนำ เขต 2 มีคะแนนคู่ค่สูสี โดยพรรคพลังประชารัฐยังเป็นผู้นำ เขต 3 พรรคพลังประชารัฐเป็นู้นำ และเขต 4 พรรคอนาคตตใหม่เป็นผู้นำ

หรือจะมีเซอร์ไพรส์?

นับคะแนนไปได้ 9 ล้านกว่าใบแล้ว พรรคภูมิใจไทยได้คะแนนรวมทั้งประเทศแตะล้าน ชนะเขตไปแล้ว 37 เขต และตามสูตรคำนวณคร่าวๆ อาจได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ถึง 22 ที่นั่ง รวมแล้ว 59 ที่นั่ง มาเป็นพรรคอันดับ 4 และสลับกันขึ้นอันดับ 3 ที่กับอนาคตใหม่ในทุกวินาที

เชียงใหม่ลุ้น ‘เพื่อไทย’ จะรักษาแชมป์ได้หรือไม่

อีกหนึ่งจังหวัดที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด ในขณะนี้มีการนับคะแนนไปแล้วประมาณ 79.02% ไม่รวมคะแนนจากการเลือกตั้งล่วงหน้า พบว่าพรรคเพื่อไทยนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยพรรคอนาคตใหม่ และพรรคพลังประชารัฐ ความน่าสนใจของคะแนนเลือกตั้งแยกตามเขตเลือกตั้งพบว่าเขตเลือกตั้งที่ 4 อำเภอสันทราย มีการพลิกโผ

โดยก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ไว้ว่าอดีต ส.ส. เพื่อไทยจะเป็นผู้นำ แต่ปรากฏว่าผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งย้ายมาจากพรรคประชาธิปัตย์กลับมีคะแนนนำ ในขณะที่เขต 9 อันเป็นเขตของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีปัญหาเรื่องการเป็นพื้นที่เรียกร้องสิทธิทำกินมาโดยตลอด พรรคที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งก็คือพรรคเพื่อไทย ตามมาด้วยอนาคตใหม่ และพลังประชารัฐ  และที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือเขตการเลือกตั้งอำเภอเมือง ซึ่งเป็นไปด้วยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เรียกว่านักโหวตหน้าใหม่ โดยพรรคที่มีคะแนนนำก็คือพรรคอนาคตใหม่ ตามมาด้วยพรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคเพื่อไทย

 

อนาคตใหม่ผงาดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

พื้นที่ที่น่าจับตาอีกหนึ่งพื้นที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเจ้าของพื้นที่เดิมคือพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม ส.ส.ใหม่ในนามพรรคประชาชาติ โดยในขณะนี้หลายหน่วยเลือกตั้งนับคะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี ซึ่งพรรคอนาคตใหม่สามารถดึงคะแนนจากพรรคประชาธิปัตย์มาได้และมีคะแนนนำ ในขณะที่นราธิวาสนั้นพรรคประชาชาติมีคะแนนนำ และเมื่อดูภาพรวมจะเห็นว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคอนาคตใหม่และพรรคประชาชาติ โดยมีการวิเคราะห์ว่าเหตุที่อนาคตใหม่สามารถก้าวขึ้นมามีคะแนนนำและโดดเด่นในเขตพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ เป็นเพราะคนรุ่นใหม่ตื่นตัวในการเลือกตั้งครั้งนี้มากและสนใจในนโยบายแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของพรรค

 

ชาว มธ. ปทุมธานี เขต 3 รวมใจเทคะแนนอนาคตใหม่นำลิ่ว อันดับสอง เพื่อไทยหลายพันคะแนน

ขณะนี้ผลการนับคะแนนของเว็บไซต์ Vote62 ผ่านการใช้ระบบ Crowdsourcing ซึ่งขอความร่วมมือจากประชาชนให้เป็นอาสาสมัครช่วยกันถ่ายรูปส่งเข้ามา เพื่อให้ทีมงานประมวลผลนับคะแนนแบบทันที ในพื้นที่การเลือกตั้งเขต 3 จังหวัดปทุมธานี หน่วยเลือกตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ผลการนับคะแนน ณ เวลา 19. 00 น.

ข้อมูลจากหน่วยการเลือกตั้งภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต หน่วยเลือกตั้งที่ 39,40,45 และ 46 พรรคอนาคตใหม่ นายอนาวิล รัตนสถาพร มีคะแนนนำพรรคอื่นอย่างเห็นได้ชัด โดยล่าสุดพรรคอนาคตใหม่ได้รับแรงโหวตกว่า 2,562 คะแนน ทิ้งอันดับ 2 นามสมศักดิ์ ใจแคล้ว จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้เพียง 225 คะแนน
โดยในขณะนี้ กกต. ได้ทำการนับคะแนนเสร็จเรียบร้อย และเก็บบอร์ดที่ระบุคะแนนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

 

เชียงราย เขต 1 ศึกช้างชนช้าง ทุกหน่วยนับคะแนนเสร็จแล้ว รอรวมคะแนน อนาคตใหม่ม้ามืด

อีกหนึ่งเขตเลือกตั้งที่น่าจับตามองถือว่าเป็นศึกช้างชนช้าง จากสองช้างกลายมาเป็นสามช้าง และที่สำคัญทุกหน่วยนับคะแนนเสร็จแล้ว โดยในเขตนี้ หมายเลข 1 นายสามารถ แก้วมีชัย พรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นผู้ที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะเป็นแชมป์เก่าในการเลือกตั้งปี 2554  ในขณะที่หมายเลข 5 นางรัตนา จงสุทธานามณี พรรคพลังประชารัฐ อดีตนายก อบจ.เชียงราย ซึ่งนางรัตนาเป็นภรรยาของ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ถือเป็นคนในพื้นที่ และหมายเลข 6 เอกภพ เพียรพิเศษ จากพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นคุณหมอ และถือเป็นม้ามืดในเขตนี้ โดยในขณะนี้ทุกหน่วยทำการนับคะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอการรวมคะแนนจากทุกหน่วย ผลปรากฏว่าคะแนนของทั้งสามพรรคคู่คี่สูสีกันอย่างที่สุด บางหน่วยเลือกตั้งมีการรายงานว่าคะแนนห่างกันเพียง 5 คะแนน

ลุ้นบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรมาไม่ทัน ถือว่าเป็นบัตรเสียหรือไม่?

หลังจาก กกต. ออกมาแจ้งว่าในส่วนของบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรที่ทยอยขนส่งมาอยู่นั้น ส่วนหนึ่งมาถึงในช่วงเช้าของวันนี้ (24 มีนาคม) แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งยังเดินทางไม่ถึงเนื่องติดปัญหาการดีเลย์ของเที่ยวบิน และหากในส่วนที่เหลือนั้นเดินทางมายังสถานที่นับคะแนนล่าช้ากว่าเวลา 17.00 น. ตามกฎหมาย ถือว่าเป็นบัตรเสียทั้งหมด

ในขณะเดียวกัน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่และอดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า จะต้องดูความหมายและตีความตามมาตรา 114 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า

“ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งหรือการออกเสียงลงคะแนนนอกราชอาณาจักรที่ใด มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือมีการส่งบัตรเลือกตั้งมาถึงสถานที่นับคะแนนของเขตเลือกตั้งใดหลังจากเริ่มนับคะแนนแล้ว หรือหีบห่อที่ส่งบัตรเลือกตั้งมีลักษณะถูกเปิดมาก่อน โดยมีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าเกิดจากการกระทําที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือมีบัตรเลือกตั้งจากที่ใดสูญหาย ให้คณะกรรมการมีอํานาจสั่งมิให้นับคะแนนนั้นโดยให้ถือว่าเป็นบัตรเสีย

ในกรณีที่มีการนับคะแนนนอกราชอาณาจักร ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการออกเสียงลงคะแนนที่ใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ถือว่าการนับคะแนนนั้นเป็นโมฆะและให้ถือว่าบัตรเหล่านั้นเป็นบัตรเสีย”

อันหมายถึงว่าการจะตีความว่าบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรที่มาช้าเนื่องจากการดีเลย์ของเครื่องบินจะถือเป็นบัตรเสียนั้น จะต้องพิจารณาว่า “เกิดจากการกระทําที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม” หรือไม่ หากไม่ได้เกิดจากการกระทำที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นบัตรเสีย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูการตีความจาก กกต. อีกครั้ง ว่าจะถือว่าบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรที่มาถึงช้ากว่า 17.00 น. นั้น เป็นบัตรเสียหรือไม่

โดยขณะนี้ทาง กกต. ยังไม่เปิดเผยผลสรุปและจำนวนบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่จะมาถึงช้ากว่าว่ามีจำนวนเท่าใด

ล่าสุดมีการรายงานว่า บัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร จำนวน 1,500 ใบ จากนิวซีแลนด์มาไม่ทัน

สำหรับข้อมูลผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรในปี 2562 นี้ มีจำนวนมากถึงประมาณ 110,000 คน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิทั้งสิ้น 98,386 คน ซึ่งคิดเป็น คิดเป็น 82.52 % ส่วนผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งนอกเขตในปี 2562 ที่มีจำนวนตัวเลขสูงถึง 2.3 ล้านคน กล่าวสำหรับจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ก็มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 810,306 คน จากที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิล่วงหน้าไว้ทั้งสิ้น 929,061 คน หรือคิดเป็น 87.22%

00000

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าประจำการ ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกล่าวขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ได้ในวันนี้ โดยใช้เวลาสั้นๆ เพียง 4 นาที และตอบคำถามนักข่าวเพียงเล็กน้อย โดยหนึ่งในคำถามสำคัญก็คือผลโพลจากหลายสำนักที่เพิ่งออกมาหลังปิดหีบ ไม่ว่าจะเป็นดุสิตโพล ซึ่งประชาธิปัตย์ได้เพียง 88 ที่นั่ง ในขณะที่ซูเปอร์โพลได้เพียง 77 ที่นั่ง ตามมาด้วยดุสิตโพลที่รั้งอันดับ 5 ได้เพียง 15.1% โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวให้ความเห็นว่าไม่เชื่อโพลใดๆ ทั้งนั้นและจะรอฟังผลคะแนนจาการนับคะแนนอย่างเดียว ซึ่งจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

โดยก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์เคยกล่าวไว้ว่าหากในการเลือกตั้งครั้งนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์ได้ที่นั่งน้อยกว่า 100 ที่นั่ง เขาในฐานะหัวหน้าพรรคจะลาออก และประเด็นที่น่าจับตามองก็คือ หากในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐได้น้อยกว่า 100 ที่นั่ง มีกระแสการคาดการณ์ว่าอาจจะต้องจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์เพื่อจัดตั้งรัฐบาล หรือในทางกลับกันหาก แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยกล่าวไว้ว่าไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็อาจคาดการณ์ได้ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคพลังประชารัฐ (แต่ก็ยังได้ที่นั่งน้อยกว่า 100 ที่นั่ง) ก็อาจจะสามารถจับมือกับพรรคพลังประชารัฐได้ และมีอำนาจต่อรองในการที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพลเอกประยุทธ์

Tags: