หากพูดถึงแลปแลนด์ (Lapland) คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงบ้านเกิดซานตาคลอส ประเทศฟินแลนด์ เป็นอันดับแรก นอกจากเสียงหัวเราะ โฮ-โฮ-โฮ ที่เราคุ้นเคยในช่วงฤดูหนาวและตลอดช่วงเทศกาลคริสต์มาสแล้ว แลปแลนด์ยังหมายรวมถึงบ้านอันอบอุ่นของชาวซามิ (Saami) และกวางเรนเดียร์อีกด้วย ในทริปนี้จะพาคุณไปสัมผัสมนต์ขลังของแลปแลนด์ที่เมอร์แมงสค์ (Murmansk) เมืองศูนย์กลางความเจริญของแคว้นปกครองตนเองเมอร์แมงสค์ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรโคล่า ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซียที่มีเขตพรมแดนติดกับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์ คาบสมุทรโคล่า (Kola) เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งได้รับการสำรวจโดยชนพื้นเมืองซามิและกวางเรนเดียร์ ชนเผ่าซึ่งพึ่งพากวางเรนเดียร์ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา
เรามาถึงเมืองนี้โดยเที่ยวบินตรงจากกรุงมอสโคว ซึ่งมีทุกวัน วันละหลายเที่ยวบิน ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง สนามบินเล็กๆ ของเมอร์แมงสค์ ห่มห่อด้วยสีขาวของหิมะอยู่นานกว่าหกเดือนในแต่ละปี ที่นี่เป็นสนามบินนานาชาติที่รองรับการเดินทางไปยังกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวียอย่างนอร์เวย์ ฟินแลนด์ และสวีเดนอีกด้วย พวกเราเลือกใช้บริการสายการบินแห่งชาติรัสเซีย มาถึงเมืองนี้ในช่วงบ่ายกลางเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ
ขณะเครื่องลดเพดานบินลง พวกเราเพลิดเพลินกับบรรยากาศโดยรอบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่หิมะสีขาว สลับกับแผ่นดินเว้าๆ แหว่งๆ ติดทะเลบาเรนต์ส (Barents Sea) เครื่องลงจอดอย่างแม่นยำในช่องว่างระหว่างกำแพงหิมะสูงที่ถูกเกลี่ยออกไปอย่างเป็นระเบียบ ทันทีที่ก้าวพ้นประตูเครื่องบิน ไอเย็นเฉียบสัมผัสใบหน้า เดาได้ว่าอุณหภูมิตอนนั้นไม่น่าเกินองศาเดียว ก้าวแรกที่เท้าสัมผัสพื้น ความรู้สึกก็โพล่งเป็นคำพูด “หนาวชิบเลย จะรอดมั้ยนี่”
เมืองนี้ต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่นและตื่นเต้นเพราะกระเป๋าเดินทางสองใบที่โหลดมาด้วยนั้นไม่ได้มากับเรา ทันทีที่รู้ ความหนาวก็วูบหายกลายเป็นความร้อนใจ เจ้าหน้าที่พยายามอธิบายเป็นภาษารัสเซียจนกระทั่งเขาเองก็รู้สึกว่าเราคงไม่เข้าใจ จึงต่อสายให้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่มอสโควแทน ทางนั้นแจ้งว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดเป็นปกติ ไม่ต้องตกใจ วันรุ่งขึ้นได้คืนแน่นอน!
ไกด์ที่มารับเป็นหนุ่มใหญ่ชาวรัสเซีย (เขาตัวใหญ่จริงๆ) ที่เราติดต่อซื้อแพ็กเกจนำเที่ยวไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทาง เราแทบไม่ต้องแนะนำตัวซึ่งกันและกันเพราะเราคือผู้โดยสารกลุ่มสุดท้ายที่ออกมาจากช่องผู้โดยสารขาเข้า ที่พักที่จองไว้เป็นอพาร์ตเมนต์ให้เช่ารายวันที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่กว่าจะได้เข้าห้องพักก็ทุลักทุเลพอควร เพราะเรารู้แต่หมายเลขอาคาร ไม่รู้เลขห้อง พลาดตรงที่ไม่ได้อีเมลถามเจ้าของห้องไว้ก่อน แต่ไกด์หนุ่มช่วยหาจนกระทั่งรู้เลขห้องและหาเจ้าของห้องจนเจอ คืนนี้ไกด์จะมารับพวกเราอีกครั้งตอนสามทุ่ม เพื่อออกไปล่าแสงเหนือกันนอกเมืองเมอร์แมงสค์
ว่ากันว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการล่าแสงเหนือ คือระหว่างสองทุ่มถึงตีสี่ และที่สำคัญคุณจะต้องมี 3 สิ่งนี้ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชมแสงเหนือ หนึ่ง-ท้องฟ้าปลอดโปร่งปราศจากเมฆ สอง-คุณต้องออกไปไกลจากแสงไฟในเมือง ไปยังจุดที่ท้องฟ้ามืดสนิท และสุดท้าย-คุณจะต้องพกดวงไปด้วย
คืนนี้อุณหภูมิประมาณ -15 องศาเซลเซียส แต่เพราะวันนี้หิมะตกเกือบจะทั้งวัน อากาศค่อนข้างชื้นและพวกเราดูจะไม่มีข้อ 3 กันเลยตั้งแต่เดินทางมาถึง ทำให้พวกเราได้เห็นแค่แว้บเดียว ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปด้วยซ้ำ แต่เราก็ใจจดจ่อรอกันจนถึงประมาณตีสอง เพื่อนบางคนก็แอบหลับในรถกันไปเรียบร้อยแล้ว ไกด์จึงพาเรากลับที่พัก เพราะช่วงฤดูนี้ท้องฟ้าจะเริ่มสว่างอีกครั้งประมาณตีสี่ พวกเรากลับมาถึงห้องพักราวตีสาม ทุกคนหลับสนิทเหมือนปิดสวิตช์ไฟ
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นกันสายหน่อย ไกด์นัดจะมารับตอนเที่ยงพร้อมด้วยโปรแกรมยาวเหยียดทั้งวัน เริ่มตั้งแต่ขับสโนว์โมบิล นั่งเลื่อนลากที่ฮัสกีพาร์ก เยี่ยมชมบ้านชนพื้นเมืองซามิและกวางเรนเดียร์ พวกเราเตรียมตัวเสร็จก่อนที่ไกด์จะมารับ จึงเหลือเวลาลงมาเดินสำรวจเมือง ผู้คนที่นี่อยู่กันอย่างเรียบง่าย ไม่มีห้างใหญ่ๆ แต่มีซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับจับจ่ายของสดหลายแห่งรอบเมือง ผักผลไม้เมืองหนาวมีให้เลือกมากมาย ถึงตรงนี้หลายคนคงนึกถึงสตรอว์เบอร์รีลูกโต แน่นอนค่ะ เราไม่พลาดที่จะซื้อติดมือไปแย่งกันชิมในรถระหว่างทาง การจราจรไม่หนาแน่น มองไปตรอกซอยไหนก็เห็นกองหิมะขาวโพลนตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส อาคารโดยส่วนใหญ่ไม่สูงมากนักและไม่เน้นดีไซน์โดดเด่นล้ำสมัย บรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกเหมือนเราย้อนอดีตไปยุคหลังสงครามโซเวียต ต่างกันก็ตรงที่มี 3G และ Wifi ทั่วเมือง
จากที่พักไกด์ขับรถพาเราออกมานอกเมือง ไม่นานนักก็มาถึงฮัสกีพาร์ก ที่นี่เป็นเหมือนสวนสนุกที่มีกิจกรรมหลากหลายให้ชิมลาง รวมถึงลานสกีกว้างใหญ่สุดตาไปถึงเนินเขาด้านในอีกด้วย พวกเราลงทะเบียนเข้าใช้บริการเรียบร้อยก็ต้องสวมชุดหมีกันลมตัวใหญ่ทับไปอีกชั้นเพื่อกันลมหนาวสุดโหดในเขตนั้น สโนว์โมบิลเป็นกิจกรรมแรกของโปรแกรมวันนี้ ทางสวนสนุกเตรียมผู้ฝึกสอนไว้ให้ด้วย การขี่สโนว์โมบิลนั้นง่ายมากๆ ง่ายเหมือนขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ก็ง่ายกว่าตรงที่การนั่งอยู่บนสโนว์โมบิลนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการทรงตัวเลย แค่ต้องออกแรงบังคับแฮนด์ที่หนักอยู่สักหน่อย เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราขี่ผ่านเนินเขาลูกแล้วลูกเล่า ผู้ฝึกสอนหยุดให้เราได้แวะถ่ายรูปในบางจุด รอบตัวมีแต่เนินเขาสีขาวสุดตาตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า เสร็จจากกิจกรรมนี้ เหล่าฮัสกีตื่นพอดีพร้อมจะต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว น้องๆ ฮัสกีแต่งตัวพร้อมสายคาดอกออกมาทักทายและถ่ายรูป ก่อนจะพาพวกเรานั่งเลื่อนลากทีละคน ความตื่นเต้นของการนั่งเลื่อนลากคือ เราจะต้องไว้ใจเหล่าฮัสกี นั่งในท่าสบายตามที่ผู้ฝึกสอนแนะนำ เพียงเท่านี้เราก็จะได้เก็บเกี่ยวบรรยากาศสนุกๆ แล้ว หลังพักเบรกรับประทานอาหารมื้อกลางวันเราเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านชาวซามิ ที่นี่เราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสัมผัสกวางเรนเดียร์ตัวเป็นๆ
มาทำความรู้จักชาวซามิกันก่อน ‘ซามิ’ เป็นชาวพื้นเมืองที่อยู่อาศัยในแถบอาร์กติกที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่าแลปส์ (Lapps) หรือ แลปแลนเดอร์ (Laplanders) ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลทางตอนเหนือของนอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และคาบสมุทรโคล่าของรัสเซีย ทั้งยังได้รับการคุ้มครองภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศของชนเผ่าพื้นเมืองอีกด้วย ภาษาดั้งเดิมของพวกเขาคือภาษาซามิและถูกจัดเป็นสาขาของตระกูลภาษาอูราลิค กวางเรนเดียร์เป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิตของพวกเขา ให้เนื้อเพื่อยังชีพ ให้ขนสัตว์เพื่อความอบอุ่น รวมถึงเป็นยานพาหนะ ชาวซามิมีธงสัญลักษณ์เป็นของตนเองอีกด้วย ปัจจุบันเชื่อว่ายังมีประชากรชาวซามิทั่วภูมิภาคราว 130,000 คน (เฉพาะในรัสเซียมีประชากรซามิประมาณ 2,000 คน ชาวซามิส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศนอร์เวย์)
บ้านของชาวซามิมีลักษณะเป็นเต๊นท์รูปกรวย ด้านในปกคลุมด้วยหนังและขนกวางเรนเดียร์เพื่อให้ความอบอุ่นและเป็นฉนวนกันไฟไหม้ ตรงกลางเต๊นท์จะมีเตาผิงไฟขนาดใหญ่ ชาวซามิมีเครื่องดนตรีที่ทำจากเขากวาง พวกเขามีธรรมเนียมการร้องเพลงและเต้นรำเพื่อเรียกพลังและจิตวิญญาณจากกองไฟ
ตามที่เล่าว่าวิถีชีวิตของชาวซามินั้นเรียบง่าย พวกเขาพึ่งพาธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด นิยมดื่มชาสมุนไพรและชาผลไม้ที่หาได้จากในป่า และแน่นอนว่า ของว่างมื้อบ่ายวันนี้เราย่อมไม่พลาดที่จะลองชิมชาผลไม้รสกลมกล่อมหอมกรุ่น และมันจะพิเศษมากขึ้นเมื่อเสิร์ฟคู่กับพายเบอร์รีอบใหม่ คุยกันไปทานไป เผลอแพล็บเดียวพายเบอร์รีถาดเบ้อเร่อเมื่อสักครู่นี้แทบไม่เหลือเค้าของอดีตเลย
เมื่อเจ้าบ้านเห็นว่าเราน่าจะอิ่มกันแล้ว ก็พาไปเดินสำรวจบ้านซามิ พวกเราได้ลองใส่ชุดชนเผ่าสีสดใส ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมซามิเลย เจ้าบ้านพาเรานั่งสโนว์โมบิลที่มีเลื่อนลากเที่ยวชมรอบๆ หมู่บ้าน และแวะป้อนหญ้ามอสให้กวางเรนเดียร์ ชาวซามิจะเก็บหญ้ามอสไว้ในห้องถนอมอาหารที่ฝังอยู่ใต้ดิน ห้องนั้นเย็นเฉียบ ทำหน้าที่เป็นตู้เย็นของบ้าน เจ้าบ้านเตือนไม่ให้พวกเราจับเขากวางอ่อน (เขากวางที่มีขนปกคลุมเหมือนกำมะหยี่) เพราะอาจจะทำให้กวางได้รับบาดเจ็บ เขากวางอ่อนสามารถตัดขายได้โดยผู้ที่มีความชำนาญเมื่อกวางมีอายุ 3 ปีขึ้นไปและมีคุณลักษณะอื่นที่เหมาะสม
บ่ายคล้อยก็ได้เวลาที่พวกเราจะต้องบอกลาบ้านซามิ ทริปวันนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความประทับใจจริงๆ
ก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพฯ พวกเราตั้งใจว่าจะออกล่าแสงเหนือทั้ง 2 คืน แต่หลังจากกิจกรรมวันนี้ทั้งวันแล้ว บวกกับไกด์หนุ่มใหญ่ของพวกเราให้ความเห็นว่า วันนี้อากาศค่อนข้างชื้น ฟ้าไม่โปร่งเท่าที่ควร โอกาสจะได้เห็นแสงเหลืออาจมีแค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น พวกเราจึงปลี่ยนแผนไปเดินเล่นรอบๆ เมืองแทน เพราะยังมีเวลาอีกราวสองชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะลับฟ้า เราแวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้ออาหารไปปรุงเองที่อพาร์ตเมนต์ ระหว่างทางเดินกลับที่พัก เราต่างบ่นเสียดายที่มีเวลาให้กับเมืองนี้น้อยไปสักหน่อยเพราะพรุ่งนี้เราจะต้องออกเดินทางไปยังจุดหมายถัดไป เรายังอยากใช้เวลาสัมผัสกับวิถีชีวิตเรียบง่ายของเมืองนี้ให้มากกว่านี้
แต่ที่สุด เราก็ปลอบใจตัวเองว่า เวลาสั้นยาวอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญ เมื่อประสบการณ์นั้นเข้มข้นมันจะอยู่ในใจเรา
Fact Box
- นอกจากเที่ยวบินตรงจากมอสโควแล้ว การเดินทางมาเมืองนี้ยังสามารถเลือกบินตรงหรือนั่งรถไฟจากจากเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตรวจสอบราคาและตารางเดินรถไฟได้จาก https://pass.rzd.ru
- วัฒนธรรมดั้งเดิมแปลกๆ ของชาวซามิเกี่ยวกับการมีครอบครัว สืบเนื่องจากในภูมิประเทศแบบทุนดราที่มีสภาพแวดล้อมไม่ค่อยเอื้ออำนวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผู้หญิงจำเป็นต้องมีแผนสำรอง ดังนั้นผู้หญิงชาวซามิจะมีสามี 3 คน คนหนึ่งไปล่าสัตว์ คนที่ 2 ตกปลา คนที่ 3 ต้อนกวาง หากคนใดคนหนึ่งไม่กลับมาครอบครัวก็ยังไม่ขาดเสาหลัก แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยจะมีใครยินยอมในข้อตกลงแบบโบราณแล้ว
- กวางเรนเดียร์กินหญ้ามอสเป็นอาหารหลัก เจ้าของฟาร์มบอกเราว่า แค่เรากุมก้อนหญ้ามอสไว้ในอุ้งมือ เจ้ากวางจะพุ่งเข้ามาหาเราเพื่องับหญ้าบนอุ้งมือคุณอย่างสุภาพและอ่อนโยน มีข้อควรระวังคือ หากก้อนหญ้าตกพื้น ห้ามก้มต่ำไปเก็บหญ้า เพราะคุณอาจได้รับอันตรายจากเขากวางได้ แต่กวางเรนเดียร์ไม่เคยกัดใคร
- ฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับการล่าแสงเหนือที่เมอร์แมงสค์ เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนเมษายน ของทุกปี ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือช่วงที่มีอากาศหนาวจัดระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ นักท่องเที่ยวควรใช้เวลาที่เมืองนี้อย่างน้อย 2 คืน