ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง เมื่อท่าทีของทั้งสองฝ่ายที่มีแนวโน้มจะสงบศึกลง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีมุน แจ อิน (Moon Jae-in) ของเกาหลีใต้ ได้เรียกร้องให้มีการประกาศยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ ขณะทางด้าน คิม โย จอง (Kim Yo-jong) น้องสาวของ คิม จอง อึน (Kim Jong-un)ผู้นำเกาหลีเหนือ ก็ตอบรับว่าการเรียกร้องให้ยุติสงครามเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและน่าชื่นชม ทั้งยังเสนอให้มีการหารือกับเกาหลีใต้ถึงประเด็นนี้ด้วย
การฟื้นฟูความสัมพันธ์ดูจะคืบหน้าไปอีกขั้นเมื่อ คิม จอง อึน เพิ่งออกมาแถลงว่าเขาจะกลับมาเปิดโทรศัพท์สายด่วนระหว่างสองเกาหลีอีกครั้งในเดือนตุลาคมที่กำลังจะถึง หลังเกาหลีเหนือตัดสินใจยกเลิกไปเมื่อปีก่อนจากความไม่วางใจในท่าทีของเกาหลีใต้-สหรัฐฯ ที่ซ้อมรบร่วมกัน รวมถึงมีการปล่อยบอลลูนติดใบปลิวต่อต้านเกาหลีเหนือส่งมาจากเกาหลีใต้
คิมกล่าวด้วยว่า ตัดสินใจครั้งนี้คือการช่วยให้เข้าใจถึงความคาดหวังและความต้องการของสองเกาหลี เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และสร้างสันติภาพอันยั่งยืนระหว่างสองพรมแดน พร้อมชี้แจ้งว่าเกาหลีเหนือไม่ได้มีจุดมุ่งหมายจะยั่วยุหรือทำอันตรายอะไร เกาหลีใต้ จำเป็นจะต้องละทิ้งทัศนคติแบบสองฝ่าย และมุมมองที่คิดว่าเกาหลีเหนือเป็นศัตรูลงทันที เพราะความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีอยู่กำลังอยู่ระหว่างทางแยกแล้วว่า จะเลือกปรองดอง หรือ จะเผชิญหน้ากันไม่จบไม่สิ้น
ขณะเดียวกัน คิมยังกล่าวหาว่าสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ดำเนินนโยบายเป็นปรปักษ์ต่อเกาหลีเหนือ แม้ว่าฝ่ายบริหารของไบเดนจะเสนอการเจรจาหลายครั้ง โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ก็ตาม
“ภัยคุกคามทางทหารของสหรัฐฯ และนโยบายที่เป็นปรปักษ์ต่อเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย แต่มีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น” คิมกล่าว และมองว่าการเจรจาก็เป็นเพียงแค่กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ในการตบตาประชาคมระหว่างประเทศ แต่ซ่อนการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์เอาไว้
แน่นอนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาโต้กลับทันทีว่าไม่มีเจตนาเป็นศัตรูต่อเกาหลีเหนือ และยังคงเปิดรับแนวคิดการเจรจาระหว่างกัน พร้อมสนับสนุนความร่วมมือระหว่างเกาหลีในการช่วยสร้างเสถียรภาพบนคาบสมุทร
การประกาศฟื้นสายด่วนระหว่างสองเกาหลี มีขึ้นหลังเกาหลีเหนือเพิ่งประสบความสำเร็จในการทดลองจรวดขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกเพียงวันเดียว นักวิเคราะห์จึงมองว่าแนวทางสร้างแรงจูงใจทางบวกและทางลบ (Carrot and Stick) ของเกาหลีเหนือนั้น ตั้งใจจะให้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ในฐานะประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงเป็นการผลักดันให้เกิดความแตกแยกระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐ โดยใช้ประโยชน์จากความตั้งใจของประธานาธิบดี มุน แจ อิน แห่งเกาหลีใต้ ที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในปีหน้า
โครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือนั้น ถูกห้ามภายใต้มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ส่งผลให้หลายประเทศประกาศคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ แต่ในวันพฤหัสบดีนี้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะจัดการประชุมฉุกเฉินที่เกาหลีเหนือตามคำร้องขอของสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร จึงต้องรอดูต่อไปว่าพวกเขาจะมีท่าทีอย่างไรต่อแนวทางของเกาหลีเหนือครั้งนี้
ที่มา:
–http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20210930000107