หากเอ่ยถึงนักแสงดงสาวสักคนที่ห่างหายจากการแสดงไปนานพอสมควร และเป็นหนึ่งในชื่อที่เราจะต้องคิดถึง คงไม่มีใครไม่นึกถึงเธอคนนี้ “แองเจลินา โจลี” ผู้หญิงที่ยังคงสวยไม่สร่างในวัย 43 ปี ด้วยเค้าโครงหน้าชัดเจน ดวงตามีเสน่ห์ มีความยั่วยวนอยู่ในที ริมฝีปากอิ่มเอิบ และผมบลอนด์ธรรมชาติ เธอเป็นต้นแบบความสวยที่หลายคนยังนึกอิจฉา

แองเจลินา โจลี เริ่มมีผลงานตั้งแต่ยังเด็ก เธอเป็นนางแบบเมื่ออายุราว 14 ปี และมุ่งมั่นจะเป็นนักแสดงมืออาชีพในเวลาต่อมา ภาพยนตร์อย่างเป็นทางการเรื่องแรกของเธอคือ Cyborg 2 (1993) ส่วนภาพยนตร์ที่นับว่าเป็นบทบาทการแสดงนำครั้งแรกของเธอได้แก่เรื่อง Hackers (1995) ชีวิตของโจลีผกผันไปไม่ต่างจากแรงลม เธอมีปัญหาหลายอย่างที่สะสมอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ชีวิตส่วนตัว หรือหน้าที่การงาน แต่เธอก็ผ่านมันมาได้ และเป็นโจลีที่เราเห็นอย่างทุกวันนี้

ปัจจุบัน โจลีมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้สนับสนุนทางมนุษยธรรม และเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ โจลี พิตต์ ฟาวเดชั่น เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก รวมถึงรู้จักกันดีในการทำงานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย ประจำสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เธอทุ่มเทให้กับงานเหล่านี้อย่างไม่หวาดหวั่น จนคนที่คิดถึงการแสดงของเธออย่างเราๆ หวั่นใจแทนว่าอาจจะไม่ได้เห็นเธอโลดแล่นอยู่บนภาพยนตร์อีกแล้ว ส่วนใครที่คิดถึงเธอจนทนไม่ไหว หรือแม้แต่แทบจะไม่เคยดูการแสดงของเธอเลย แนะนำให้หยิบภาพยนตร์ 5 เรื่องนี้มาคั่นเวลากันไปก่อน

 

Gia (1998)

Gia ภาพยนตร์อัตชีวประวัติของ เจีย แมรี่ คารานจี หญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดในวงการนางแบบยุค 70s เธอมีผลงานร่วมกับนิตยสารและแบรนด์ดังๆ มากมาย อาทิ Armani, André Laug, Christian Dior, Versace และ Yves Saint Laurent รวมทั้งเป็นที่ชื่นชอบของช่างภาพแฟชั่นทั้งหลายด้วย

เจียมีพรสวรรค์ติดตัวในแบบที่คนอื่นไม่มี เธอเป็นนางแบบที่บุกเบิกการโพสต์ท่าที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายไปเรื่อยๆ ในขณะที่ช่างภาพถ่าย มีการแสดงออกทางอารมณ์บนใบหน้าและภาษากาย เธอจึงเป็นคนแรกๆ ที่ถูกเรียกขานว่าซูเปอร์โมเดล เหนือสิ่งอื่นใดเจียยังเป็นผู้มีชื่อเสียงคนแรกของโรคที่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ด้วย ซึ่งก็เป็นตัวเธอเองที่ทำลายความรุ่งโรจน์ของชีวิตให้ย่อยยับ จนจบชีวิตลงในวัย 26 ปี

ภาพยนตร์เริ่มต้นที่เส้นทางชีวิตนางแบบของเจีย แมรี่ คารานจี เด็กสาวชาวฟิลาเดเฟียที่ต้องย้ายมาอยู่นิวยอร์ก ห่างไกลจากบ้านเกิดและครอบครัวเพื่อเดินตามเส้นทางในแบบที่ตัวเองเลือก เจียเริ่มเข้าสู่วงการนางแบบจากงานถ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่พัฒนาขึ้นตามลำดับ เธอมีหน้าตาและการทำงานอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมันทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาของการทำงานนั้นเองที่เจียได้พบกับลินดา ช่างแต่งหน้าที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วยในเวลาต่อมา แต่ความจริงลินดาเองก็มีคนรักที่เป็นผู้ชายอยู่แล้ว เจียเป็นเด็กสาวที่โตมาอย่างขาดความอบอุ่น เธอต้องการความรักและการใกล้ชิดเพื่อพยุงตัวเองไว้ แต่เมื่อไม่มีใครให้ได้ตามต้องการ เธอจึงหันหน้าไปพึ่งยาเสพติด เริ่มจากการใช้มันเป็นครั้งคราวจนกลายเป็นถอนตัวไม่ขึ้น เธอทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด และกระทบกับหน้าที่การงานของตัวเอง จนสุดท้ายลินดากับแม่ต้องพาเธอไปเข้ารับการบำบัด มันเหมือนจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่การตัดขาดจากยาก็คงอยู่ได้ไม่นาน เจียอ่อนแอเกินกว่าจะต้านทาน และในตอนนั้นโรคร้ายก็ได้ย่างกรายเข้ามาสู่ตัวเธอแล้ว เจียได้ตายทั้งเป็นก่อนที่จะหมดลมหายใจไปจริงๆ…

ในความเป็นจริงเจียเข้ารับการบำบัดอยู่หลายครั้ง เธอพยายามที่จะกลับมาเป็นคนเดิม แต่ด้วยความเป็นไปของชีวิตและจิตใจ นั่นทำให้เธอไม่สามารถกลับมามีจุดยืนของตัวเองได้ เธอไม่มีงานทำและดำดิ่งลงสู่ก้นเหว ถึงขนาดต้องใช้ตัวเพื่อแลกกับเงินและยา แล้วชีวิตอันโลดโผนของเธอก็จบลง

Lara Croft 1: Tomb Raider (2001)

เกม Tomb Raider ออกวางขายครั้งในปี 1996 มันเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ซึ่งส่งผลให้ตัวละครอย่างลาร่า ครอฟท์ กลายเป็น sex symbol ที่คอเกมยังจดจำจนมาถึงทุกวันนี้ ความสำเร็จของเกมจึงไม่ได้หยุดลงแค่ที่มันเป็นเกมเท่านั้น แต่ยังต่อยอดมาเป็นหลายๆ อย่าง เช่น นวนิยาย การ์ตูน และภาพยนตร์ ซึ่งในปี 2001 Lara Croft 1: Tomb Raider ก็ออกมาสู่สายตาทุกคน โดยมีแองเจลินา โจลี แสดงนำ

โจลีเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นลาร่า โดยเข้ารับการเข้าฝึกอาวุธจากผู้สอนของ S.A.S. หน่วยรบพิเศษของกองทัพบกบริติช และยังต้องเรียนโยคะกับคิกบ็อกซิ่งด้วย เพื่อให้ร่างกายของเธอพร้อมมากที่สุด

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังนับเป็นเครั้งแรกในรอบกว่าสามทศวรรษที่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดถ่ายทำในประเทศกัมพูชา ซึ่งเรื่องก่อนหน้านั้นคือ Lord Jim (1965)

เรื่องราวของภาพยนตร์แตกต่างไปจากเกมแทบจะสิ้นเชิง โดยในภาพยนตร์ลาร่า ครอฟท์ เป็นหญิงสาวชาวอังกฤษที่ได้ชื่อว่า นักบุกสุสาน วันหนึ่งเธอพบนาฬิกาโบราณที่พ่อของเธอเก็บเอาไว้ และนาฬิกาที่ว่าดันสามารถเปิดมิติเวลาและห้วงอวกาศได้ ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ประจวบกับมีการเรียงตัวกันของดวงดาวในทุกๆ รอบ 5,000 ปีพอดี สมาคมลับอิลลูมินาติกำลังตามหาวัตถุโบราณที่ควบคุมเวลาได้ชิ้นนี้อยู่ ดังนั้น ลาร่า ครอฟท์ จึงเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างช่วยไม่ได้ โดยเธอมีเวลา 48 ชั่วโมงก่อนที่ดาวเคราะห์ทั้งสามดวงจะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน ลาร่าจะต้องตามหา The Triangle of Light อีกสองชิ้นให้พบ เพื่อไม่ให้เรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นกับโลกใบนี้!!

เอาเข้าจริงถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะทำรายได้ไปไม่น้อย แต่ในแง่คำวิจารณ์หรือความนิยมชมชอบนั้นอาจจะไม่ได้ดีสักเท่าไรนัก รูปลักษณ์ของแองเจลินา โจลี ไม่ได้ขัดกับลาร่า ครอฟท์ แต่ในแง่เนื้อเรื่องมันดูค่อนข้างไม่แข็งแรง ยังรู้สึกประดักประเดิดในบางจุด ทำให้รู้สึกเสียดายความมีพลังของเกม Tomb Raider และตัวลาร่า ครอฟท์ไปอยู่บ้าง

Mr. & Mrs. Smith (2005)

Mr. & Mrs. Smith ภาพยนตร์แอ็คชั่นคอมเมดี้ ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของแบรด พิตต์ และแองเจลินา โจลี โดยแต่เดิมบทเรื่องนี้ถูกวางไว้ว่าจะเป็นจอห์นนี เดปป์ กับนิโคล คิดแมน แต่ทั้งคู่ก็มีภาระและงานยุ่งเกินกว่าจะมารับบทในเรื่องนี้ได้ สุดท้ายมันจึงตกเป็นของแบรดและโจลี

ระหว่างการถ่ายทำแบรด พิตต์ ห่างหายไปจากกองถ่ายเรื่องนี้นานถึงสามเดือน เพื่อไปถ่าย Ocean’s Twelve (2004) แต่เขาก็กลับมาสานต่อได้อย่างไร้ที่ติ ในทีแรกเรื่องนี้มีฉากเซ็กส์ระหว่างเขาและโจลีด้วย แต่ก็ถูกตัดออกเพื่อให้ภาพยนตร์ได้เรท PG-13 สุดท้ายแล้วในตอนที่เข้าฉายมันทำรายได้ไปมากถึง 478 ล้านเหรียญทั่วโลก

เรื่องราวเปิดตัวที่จอห์นกับเจน สมิธ ตอบคำถามระหว่างการให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตคู่ ทั้งสองแต่งงานมาเป็นเวลากว่า 5-6 ปีแล้ว แต่ชีวิตคู่ของพวกเขากำลังอยู่ในจุดที่มีปัญหา ความสัมพันธ์จืดชืด และพยายามมองหาทางออก และมันคงจะเรียบง่ายอย่างนั้นต่อไป หากความจริงไม่ปรากฏว่าจริงๆ แล้วทั้งสองต่างเป็นนักสังหารมืออาชีพ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งจอห์นกับเจนทำงานอยู่ในคนละองค์กร การมอบหมายงานครั้งต่อไปจึงทำให้ความจริงกระจ่างขึ้นมา เพราะทั้งสองดันต้องไปสังหารคนๆ เดียวกัน

การพบกันด้วยหน้าที่การงานอันแปลกประหลาดนี้ได้เปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปหลังจากนั้น เพราะเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ว่าใครเป็นใคร ทางเลือกเดียวของพวกเขาคือสังหารฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเสีย ไม่เช่นนั้นตัวเองจะเป็นฝ่ายที่ถูกองค์กรกำจัดทิ้ง ความผูกพันจะทำให้พวกเขาก้าวข้ามการเข่นฆ่าไปได้หรือไม่? หรือแท้จริงแล้วตลอดระยะเวลาของการอยู่ด้วยกันมันไม่มีเยื่อใยอยู่เลย? บทสรุปของเรื่องนี้อาจมีใครสักคนต้องตาย แต่จะใช่พวกเขาหรือเปล่า? อาจเป็นคุณที่ต้องไปหาคำตอบ

ฉากแอ็คชั่นอาจจะไม่ได้มีแบบสนั่นหวั่นไหว แต่ก็พอให้หอมปากหอมคอ เนื้อเรื่องมีประเด็นอยู่ที่ความไม่เข้าใจกันของคนสองคนเสียมากกว่า การใช้ชีวิตคู่ต้องอาศัยความเข้าใจ เรียนรู้ทั้งด้านดีและไม่ดีของอีกฝ่าย หากปิดกั้นหัวใจตัวเองจากอีกคน นั่นก็คงไม่เรียกว่าความรักหรือการใช้ชีวิตคู่ เพราะฉะนั้นเมื่อได้เปิดใจคุยกัน มันก็จะเยียวยาบางสิ่งบางอย่างลงได้เช่นกัน

The Tourist (2010)

The Tourist เป็นภาพยนตร์รีเมคจากเรื่อง Anthony Zimmer (2005) โดยในตอนแรกผู้กำกับ ฟลอเรียน เฮนซ์เคล วอน ดอนเนอร์สมาร์ก วางบทอีลีซ คลิฟทัน-วอร์ด ไว้เป็นชาร์ลิซ เธอรอน ก่อนจะมาตกลงปลงใจที่แองเจลินา โจลี ส่วนบทแฟรงค์ ทูเพโล นั้นเป็นของทอม ครูซ จนต่อมาตกเป็นของแซม เวิธทิงทัน และในที่สุดมันก็มาถึงมือของจอห์นนี เดปป์

ถึงแม้ทั้งเดปป์และโจลีจะเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดสองคนในวงการภาพยนตร์เวลานั้น แต่นี่ก็เป็นเรื่องแรกที่ทั้งคู่โคจรมาพบกัน เมื่อเกรแฮม คิง เห็นพวกเขาสองคนพบปะพูดคุยก่อนจะเซ็นสัญญา เกรแฮมก็บอกได้เลยว่า “มันมีความสมบูรณแบบทางเคมีระหว่างทั้งคู่”

เรื่องราวความสัมพันธ์สุดชุลมุนของพระนางเรื่องนี้เริ่มมาจากจดหมายฉบับหนึ่ง เมื่ออีลีซได้รับข้อความจากเพียร์ซ อาชญากรร้ายคู่รักของเธอว่า ให้เธอขึ้นรถไฟไปเวนิสแล้วตีสนิทกับชายแปลกหน้าสักคนที่รูปร่างคล้ายเขา เพื่อหลอกล่อให้ตำรวจตายใจ แล้วเข้าจับกุมผิดคน ตัวเพียร์ซเองจะได้หลุดจากการไล่ล่าเสียที อีลีซทำตามคำขอนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว เธอจึงได้พบกับแฟรงค์ นักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหนอิเหน่อะไร แต่มาเวนิสเพื่อรักษาหัวใจตัวเอง

การพบกันครั้งนี้จะเรียกว่าเป็นดวงซวยของแฟรงค์ก็ได้ แต่จะเรียกว่าพรหมลิขิตก็ได้เช่นกัน เพราะเมื่อเผชิญทั้งเหตุดีเหตุร้ายต่างๆ ร่วมกัน ความสัมพันธ์แปลกประหลาดนี้ดันกลับกลายเป็นความรัก อีลีซจำต้องอยู่บนความสับสนของหัวใจตัวเอง ว่าจะกลับไปซบอกตัวร้ายอย่างเพียร์ซ หรือหนีไปกับรักใหม่อย่างแฟรงค์ อย่างไหนกันแน่คือสิ่งที่หัวใจเธอปรารถนา!

หากคุณต้องการเห็นเสน่ห์อันเหลือร้ายของเดปป์และโจลี แน่นอนว่าคุณจะได้เห็นมัน ซึ่งมันคงจะพอชดเชยให้ได้กับเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างจะไม่แข็งแรงเท่าไร จะโรแมนติกก็ยังดูขัดๆ จะทริลเลอร์ก็ไปไม่สุด จนเราอดเสียดายพระนางค่าตัวแพงคู่นี้อย่างเสียไม่ได้ แต่นอกเหนือไปจากความสวยหล่อของพวกเขาแล้ว ความงามของเมืองเวนิสก็ทำให้หายเสียดายเวลาไปได้เหมือนกัน

Maleficent (2014)

ภาพยนตร์ดาร์คแฟนตาซีที่หยิบจับเรื่องราวของ Sleeping Beauty หรือ เจ้าหญิงนิทรา มาดัดแปลงและเล่าใหม่ในมุมมองของมาเลฟิเซนต์ นางฟ้าปีศาจ ซึ่งผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้แองเจลินา โจลี ตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะมีส่วนร่วม เธอกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเป็นเพราะเธอเติบโตมากับภาพยนตร์ดิสนีย์ มาเลฟิเซนต์คือตัวละครตัวโปรดของเธอ แม้ว่ามาเลฟิเซนต์จะมีความน่ากลัว แต่เธอก็หลงใหลในความสง่างามนั้น

นักแสดงทุกคนในเรื่องได้รับการคัดเลือกให้สวมบทนั้นๆ โดยอิงจากความคล้ายคลึง หรือภาพของตัวละครในเรื่องเจ้าหญิงนิทราเป็นหลัก แล้วมันก็ปรากฏโฉมในแบบที่หลายคนให้ความประทับใจ

เหตุใดใครคนหนึ่งจึงแลดูชั่วร้ายได้ถึงเพียงนั้น พวกเขาชั่วร้ายแต่กำเนิด หรือมีสิ่งใดผลักดันหรือบีบคั้นให้คล้ายกลายเป็นคนไร้หัวใจ มาเลฟิเซนต์ในฉบับภาพยนตร์เป็นการตีความใหม่ที่สืบสาวไปถึงอดีตอันเจ็บปวดของเธอ

มาเลฟิเซนต์เคยมีชีวิตอันสงบสุข มีความรักในแบบที่หญิงสาวพึงมี และมีอาณาจักรที่ไม่มีใครเข้ามากล้ำกราย จนกระทั่งวันหนึ่ง กองทัพของกษัตริย์เมืองมนุษย์ก็บุกมา พวกเขาหวังจะยึดครองที่นั่น แต่ก็พ่ายแพ้กลับไป ด้วยความเจ็บช้ำ กษัตริย์กล่าวว่าหากใครแก้แค้นให้พระองค์ได้จะได้สืบบัลลังก์ สเตฟานคนรักของมาเลฟิเซนต์จึงหักหลังเธอ เขาตัดปีกของเธอทิ้ง แต่ก็ไม่กล้าพอจะสังหารเธอ ซึ่งปีกนั้นก็เพียงพอที่จะยืนยันว่าเขาปราบมาเลฟิเซนต์ลงได้แล้ว

จวบจบสเตฟานมีธิดา นามว่าออโรรา มาเลฟิเซนต์ ผู้แค้นเคืองจึงบุกมายังปราสาทและสาปออโรราให้ถูกเข็มปั่นด้ายทิ่มแทงและหลับใหลไปตลอดกาลในวันเฉลิมพระชนม์ปีที่สิบหก แต่คำสาปนี้แก้ได้ด้วยจุมพิตแห่งรักแท้

สเตฟานออกคำสั่งริบเครื่องปั่นฝ้ายทั้งหมด และให้นางฟ้าสามองค์พาออโรราไปเลี้ยงดูในป่าอันห่างไกลจนกว่าจะเลยผ่านช่วงเวลาของคำสาป แต่ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนมาเลฟิเซนต์ก็เข้าถึงตัวเธอได้อยู่ดี และออโรรานี่เองที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการพิสูจน์ดวงใจของมาเลฟิเซนต์ รวมถึง อาจจะเป็นผู้พาความสงบสุขของทั้งสองอาณาจักรกลับมา

ภาพยนตร์เป็นการตีความใหม่ในหลายๆ แง่ เป็นการคืนอำนาจให้กับเพศหญิง อันเห็นได้จากพลังของมาเลฟิเซนต์ หรือแม้แต่ในฉากจบ ทั้งยังเป็นการเรียกคืนความยุติธรรมให้กับตัวละครที่ถูกมองว่าเลวร้ายมาโดยตลอด ซึ่งทำให้เราได้ความสนุกแปลกใหม่อันแตกต่างไปจากเดิม และการแสดงของโจลี่ก็ช่างเหมาะสมกับบทบาทนี้เป็นอย่างมาก

Tags: , , , ,