“วันคนโสดนี้ไม่ได้เป็นแค่วันช็อปปิงครั้งยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่มีความหมายในแง่ที่ว่า 11.11 เป็นวันที่กลุ่มธุรกิจต่างๆ ในอาลีบาบา หรือ อาลีบาบาอีโคซิสเต็ม ได้ให้บริการที่หลากหลายกับผู้คน” โจ ไช่  (Joe Tsai) รองประธานกรรมการ อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวและเสริมว่า บริการนี้ยังรวมทั้งการผสานความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ อย่างสตาร์บัคส์ ที่ในโอกาส 11.11 นี้ บริษัทเอ้อเลอมา (Ele.me) หรือบริการขนส่งซึ่งอาลีบาบาเพิ่งซื้อเข้ามาอยู่ในอีโคซิสเต็ม บริการส่งกาแฟจากสตาร์บัคส์ ตลอด 24 ชั่วโมงเฉพาะวันนี้วันเดียวเท่านั้น

โจ ไช่ เล่าให้ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า กาแฟแก้วแรกที่เสิร์ฟถึงมือ คือ 9 นาทีหลังจากเลยเที่ยงคืน และกาแฟที่สั่งแก้วนั้นคือ Sweet Cream Cold Brew

ไม่ใช่แค่สินค้าและบริการ ด้านความบันเทิงอย่างการถ่ายทอดสดงานกาล่าเมื่อคืนก็ได้ดึงผู้ชมให้เข้ามามีส่วนร่วมติดตาม

สื่อมวลชนได้ถามถึงผลจากสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-จีน มีผลกระทบกับยอดขายปีนี้หรือไม่ โจ ไช่กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจบริบทก่อนว่าอาลีบาบากำลังทำอะไร เขาปูพื้นว่ายุคนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ‘การผงาดขึ้นของชนชั้นกลางชาวจีน’ และชี้ให้เห็นว่าในระยะเวลากว่า 20 ปี จีนได้พัฒนามาไกลมาก จากปี 1999 ที่อาลีบาบาก่อตั้งขึ้น จีดีพีต่อหัวอยู่ที่ 800 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตอนนี้อยู่ที่ 9,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อหัว ซึ่งนี่คือพื้นฐานที่ดีสำหรับการบริโภคภายในประเทศ และยังหวังว่า จะผลักสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศจาก 50% ในปัจจุบัน ให้เป็น 70% ซึ่งเป็นสัดส่วนของประเทศพัฒนาแล้ว

ผู้บริโภคกลุ่มชนชั้นกลางเหล่านี้ มีความพร้อมและความต้องการทดลองสินค้าใหม่ๆ โดยสังเกตได้ว่าพวกเขาสนใจสินค้าความงาม แม่และเด็ก ฯลฯ

โจ ไช่บอกว่า นี่คือ แนวโน้มในระยะยาว (long term trend) ในขณะที่สงครามการค้าที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแนวโน้มระยะสั้น และอาลีบาบาจะไม่ให้ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในระยะสั้นนี้มากระทบต่อยุทธศาสตร์ระยะยาวที่กลุ่มบริษัทวางเอาไว้

ขยับมาพูดถึงผลงานของลาซาด้าในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในมหกรรม 11.11 โจ ไช่ บอกว่าเนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็อาจเร็วไปที่จะประเมิน แต่อยากชี้ว่า วันนี้สำคัญในแง่ของการแสดงให้เห็นถึง  Culture of Passion อย่างการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันของพนักงานอาลีบาบาอย่างที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียเป็นต้น

นอกจากนี้ ปีนี้อาลีบาบายังเน้นให้เห็นความสำคัญของธุรกิจค้าปลีกแนวใหม่ (New Retail) ว่าไม่ใช่แค่การหาทางขายของ แต่เกี่ยวกับการทำให้ทุกอย่างเป็นดิจิทัล (Digitization) เพราะเมื่อทุกอย่างเป็นดิจิทัล ก็จะทำให้ติดตามผลจากลูกค้าได้ว่าพวกเขากลับมาซื้อของเดิมหรือไม่ บริษัทสามารถประเมินจากข้อมูลพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของลูกค้าได้ ต่างจากโลกออฟไลน์ที่เราไม่อาจรู้ได้เลย ซึ่งอาลีบาบามีบทบาททำเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่การทำให้เป็นดิจิทัลในฝ่ายลูกค้า แต่ในฝั่งของห่วงโซ่อุปทานด้วย โดยโจ ไช่ กล่าวว่า ตอนนี้ยังมีชาวจีนจำนวนมากอาศัยอยู่ในแถบชนบท พวกเขาจึงมีโครงการที่เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ได้สร้างและผลิต เช่น หัตถกรรมและการเกษตร และมีช่องทางจำหน่ายในร้านค้าและแพลตฟอร์มในเครืออาลีบาบาด้วย

ส่วนในด้านการลงทุนต่างประเทศ โจบอกว่าอินเดียเป็นตลาดต้องอาศัยความอดทนในการลงทุน เพราะต้องใช้เวลาสักพักในการพัฒนาตลาด หากมองในแง่ประชากร อินเดียนั้นมีมากกว่าจีน แต่จีดีพีต่อหัวกลับคิดเป็น 1 ใน 5 ของจีน เพราะฉะนั้นตลาดอีคอมเมิร์ซควรจะมีสัดส่วนเดียวกัน คือควรจะอยู่ที่สองแสนล้านดอลลาร์ แต่ตอนนี้ยังไปไม่ถึง อยู่เพียงแค่สองหมื่นล้านเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันยังมีโอกาสอีกมาก และการลงทุนในธุรกิจเพย์เมนต์ก็จะทำให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ปฏิสัมพันธ์กับอินเทอร์เน็ตว่าเป็นอย่างไร เพราะแม้แต่การซื้อตั๋วหนังก็อาจผ่านระบบเพย์เมนต์ที่ว่านี้

โจ ไช่ ยังกล่าวถึงแผนการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยุโรป เขาบอกว่า “ในระยะใกล้ เนื่องจากผู้บริโภคจีนกำลังสนใจสินค้ายุโรปซึ่งมีคุณภาพสูง เราก็จะพยายามโฟกัสไปที่เรื่องนี้ ในระยะกลาง ก็อาจจะเป็นโอกาสในภาคองค์กรธุรกิจ อย่างการให้บริการระบบคลาวด์แก่ธุรกิจ (Cloud Computing Service) อาลีบาบาเห็นว่า บริษัทในยุโรปตระหนักถึงต้นทุนของระบบไอทีและเกิดแนวโน้มที่จะจ้างผู้ให้บริการภายนอก ซึ่งอาลีบาบาอยากจะไปเป็นผู้เล่นในตลาดนี้ ส่วนระยะยาว เราอยากจะตอบสนองผู้บริโภคในยุโรป ซึ่งตอนนี้ก็เป็นการดำเนินการใน aliexpress”

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อแจ็ค หม่า ลดบทบาทตัวเองลงแล้ว คนในตำแหน่งสำคัญๆ ที่เหลือจะก้าวลงไปด้วยไหม และตอนนี้โจ ไช่ กำลังให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรเป็นพิเศษ


เขากล่าวว่า แจ็ค หม่า ยังไม่ได้เกษียณอายุการทำงาน เพียงแค่ลดบทบาทลงไป ส่วนตัวเขายังไม่มีแผนอย่างนั้น ตอนนี้เขากำลังการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่หากถามว่าอาลีบาบาให้ความสำคัญกับเรื่องใดที่สุด ก็คงเป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถขึ้นมาในองค์กร เพราะตัวแจ็ค โจ และเพื่อนๆ อยู่ในวัย 40-50 ปีกันแล้ว จึงควรที่จะสร้างคนทำงานรุ่นใหม่ๆ ในวัย 30s ให้มีบทบาทมากขึ้น

 

Tags: , , ,