ฉันรู้จัก ‘รามิล’ จากการไปเพอร์ฟอร์แมนซ์แทบทุกม็อบทั่วเชียงใหม่และทั่วมหาวิทยาลัยของเขา รามิลถือเป็นนักเรียนปรัชญาที่เอาจริงเอาจังกับการทำงานศิลปะคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ส่วน ‘เท็น’ เรียนอยู่ในสาขา Media Arts and Design ของคณะวิจิตรศิลป์ เราเจอเท็นครั้งแรกในวันที่เขากำลังยื้อยุดอยู่กับผู้บริหารคณะที่มาเก็บผลงานศิลปะของนักศึกษาโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ก่อนจะยืนคุ้ยถุงดำหางานตัวเองหลังเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง 

ย้อนกลับไปวันที่เรานัดคุยกัน (8 พฤษภาคม 2564) ณ สนามหญ้าริมอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เท็นกับรามิลยังคงหัวเราะและก่นด่าชีวิตได้อย่างสาสมจนฉันอยากปรบมือให้ โดยเฉพาะรามิลที่เพอร์ฟอร์แมนซ์เก่งทั้งบนเวทีและในชีวิตจริง ในหัวเขามีคลังคำสาปที่พร้อมปล่อยออกมาให้คนที่นั่งอยู่ได้สาแก่ใจไปด้วย 

หยาบบ้างไม่หยาบบ้างขึ้นอยู่กับความอินของพวกเขา แต่แววตาของทั้งคู่ดูอ่อนล้ากว่าทุกครั้งที่พบกัน คล้ายกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างในใจให้ขบคิดอยู่ตลอดเวลา

‘เท็น’ – ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ และ ‘รามิล’ – วิธญา คลังนิล ขณะนั่งรอขอเข้าพบผู้บริหารมหาวิทยาลัยหลังถูกเก็บผลงาน

พวกคุณเตรียมใจรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง

เท็น: ทำใจให้สบาย แล้วก็รันโปรเจกต์อื่นๆ ต่อ

รามิล: เฮ้อ (ถอนหายใจ) ก็ไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์กับการโดนคดีครั้งนี้เลย เพราะว่าในประเทศเฮงซวยนี้มันเกิดอะไรก็ได้อยู่แล้ว เราไม่ได้ยืนอยู่บนบรรทัดฐานของหลักการอะไรทั้งนั้น ก่อนนี้ก็ได้เตรียมใจกันไว้ก่อนแล้ว 

เท็น: เตรียมใจกันมา แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่ช่วงไหน เหมือนมาสายนี้มันก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว วันที่รู้ข่าวว่าโดนฟ้องผมไม่ได้อยู่กับรามิลไง มันถามว่าอยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน ผมก็บอกว่าฟังข่าวร้าย มันก็บอกว่า เราโดน 112 กัน กูกับมึง ผมถามต่อว่าแล้วข่าวดีคืออะไร มันก็บอกว่า เราจะได้ทำอีเวนต์กันไง ไดอะล็อกมันจะเป็นทำนองนี้ มีสติในระดับหนึ่งว่าโดน แต่ก็ไม่ได้จิตแตกขนาดนั้น 

รู้ใช่ไหมว่าทุกคนต่างจับตามองกับผลงานชิ้นนี้ หรืออย่างน้อยๆ ก็มีใครบางคนจับตามองกับงานชิ้นนี้อยู่

เท็น: ก็รู้อยู่แหละ แต่งานมันไม่ได้ดูแล้วแบบบึ้ม ขนลุก สวยงามอะไรแบบนั้น มันก็ทำงานในแบบของมัน

รามิล: เป็นเรื่องธรรมดาที่มันก็ต้องทำงาน แต่งานชิ้นนี้มันไม่ได้วิเศษวิโส หวือหวา หรือเดินไปเห็นแล้วต้องสะดุ้งอะไร 

หลังจากงานชิ้นนี้ออกมา ปัญหามันอยู่ตรงไหน ที่ทำให้หลายคนอยากจะปิดกั้นมัน

เท็น: ความเป็นไปได้ในการตีความ งานมันปล่อยฟรี และด้วยความที่ลงพื้นที่เฉพาะ และพื้นที่นั้นก็ทำงานในด้านการต่อต้านบางอย่างเช่นกัน การตีความจึงเป็นไปได้ทั้งฝั่งที่ชอบและไม่ชอบ มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แต่ประเด็นก็คือ การทำอะไรแบบนี้มันไม่ได้ฆ่าใครตาย ตัวงานเองไม่ได้มีพลังขนาดนั้นด้วยซ้ำ ก็แค่ผืนผ้ากากๆ เพนต์สีหนาๆ หน่อย 

รามิล: งานมันก็คงไปตั้งคำถามกับเขามั้งครับ เขาถึงค้นพบว่ามันช่างโหดร้ายกับความเป็นจริงที่เขาเชื่อมั่นเหลือเกิน แต่อย่างที่เท็นบอก ตัวงานชิ้นนี้ไม่ได้กำหนดความหมายไว้ ดังนั้น พองานปรากฏขึ้น มันจึงตกอยู่ในทะเลของความเป็นไปได้

สมมติว่างานชิ้นนี้ถูกจัดแสดงในนิทรรศการ แล้วอธิบายความหมายของงานกำกับไว้อย่างชัดเจนในกรอบเล็กๆ มันจะปลอดภัยกว่านี้ไหม

เท็น: มันปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว

รามิล: ผมไม่เห็นภาพนั้นเลย งานที่ทำๆ กันในช่วงนี้ก็เป็นงานที่อยู่ในขอบข่ายของศิลปะการเมือง ก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใครดูในแกลเลอรี

พวกคุณมีมุมมองต่อศิลปินที่เพิกเฉยกับประเด็นทางสังคมอย่างไรบ้าง

เท็น: เขาก็มีอะไรในชีวิตของเขา บวกกับเงื่อนไขต่างๆ ด้วย พวกผมก็มีนะเงื่อนไขในชีวิต แต่ทำไมเราถึงออกมา นั่นคือคำถามมากกว่า ทำไมเราถึงทำอะไรแบบนี้ แล้วทำไมเขาถึงทำอะไรแบบนั้น เป็นคำถามที่ตอบยังไงก็ไม่หมด แต่การที่เราทำแบบนี้ อย่างน้อยมันก็มีอะไรเกิดขึ้นมา การปรากฏขึ้นของเรามีความหมายบางอย่าง การปรากฏขึ้นของเขาก็มีความหมายบางอย่างเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม 

รามิล: วันหนึ่งของเราอาจเดินทางมาถึงไม่พร้อมกัน แต่มันจะมีวันหนึ่งที่เรารู้สึกได้ว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นไม่มากพอ เป็นช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจใหม่อีกครั้งว่าเราจะไปต่อหรือหยุดพอแค่นี้ ซึ่งมันมีสิ่งที่ทำให้เราต้องตัดสินใจอีกหลายครั้งในชีวิตห่าเหวนี้ 

เราไม่ได้เป็นแค่ศิลปิน เราไม่ใช่แค่คนทำงานศิลปะอย่างเดียว เรายังมีชีวิตอื่นๆ อยู่ด้วย มันไม่ใช่การดูถูกดูแคลนที่ว่าศิลปินคนหนึ่งออกไปม็อบ แต่สักวันหนึ่งเราจะค้นพบว่า ในพื้นที่ทางศิลปะของเรานั้นควรที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยงานศิลปะ ที่มันจะช่วยเหลือกันทางขบวนการประชาธิปไตยได้เสียที 

ผมจะพูดในนามส่วนตัวว่าทำไมถึงยังทำอะไรแบบนี้อยู่ อย่างที่เคยพูดๆ ไปแล้วว่าเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ก็เป็นของจริง เราจะปฏิเสธที่จะไม่พูดถึงมันได้อย่างไร

คิดอย่างไรการที่เขาใช้ ม.112 กับผลงานศิลปะ

เท็น: เขาคงคิดว่าสิ่งที่เราทำมันสำคัญมั้ง สำคัญถึงขนาดที่เขาต้องใช้สิ่งนี้มาปิดปาก ปล่อยไว้ไม่ได้ ทั้งที่มันไม่มีอะไรเลย 

รามิล: คือผมหมดคำสิเว้า (หัวเราะ) ผมแทบจะไม่มีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้เลย ผมคิดไม่ออกว่าจะสำคัญตัวเองอย่างนั้นได้ไหม ว่าเขาจงใจที่จะฟ้องดำเนินคดี เพราะความที่มันเป็นงานศิลปะ ตัวเขาเองก็เหมือนจะบอกเจตนารมณ์ของตัวเองชัดเจนว่าไม่ได้มองว่ามันเป็นงานศิลปะหรอก สิ่งสำคัญมันไม่ใช่เรื่องการแจ้งความ ม.112 กับผลงานศิลปะ แต่มันคือการใช้ ม.112 ในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางความเชื่อหรือทางผลประโยชน์ของเขาก็แค่นั้น 

บางคนอาจคิดว่าการใช้กฎหมายมาปิดปากแบบนี้จะหยุดยั้งการสร้างงานศิลปะได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกคุณถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูไหม

รามิล: วันนี้มันทำให้เห็นแล้วว่า กฎหมายนี้ได้เดินทางมาถึงพื้นที่ของโลกศิลปะแล้วเรียบร้อย และมันไม่เคยปรานีใครเลย

ผมว่านี่คือความสำคัญของการแจ้ง ม.112 ในครั้งนี้ หลังจากที่ผ่านมา ม.112 ถูกแจ้งอยู่ในทะเลทางการเมือง ตอนนี้มันได้เดินทางมาถึงโลกทางศิลปะแล้ว ก็จงรู้ไว้ด้วยว่า ในโลกอื่นๆ ในบริบทอื่นๆ คุณไม่มีวันรอดหรอก  

เท็น: ทุกคนมีสิทธิ์โดนกันได้ทั้งนั้น

ถ้าศิลปะไม่สามารถมีเสรีภาพในการสร้างสรรค์ได้ งานศิลปะชิ้นนั้นจะกลายเป็นอะไร

เท็น: มันไม่มีไม่ได้ไง ไม่มีไม่ได้อยู่แล้วในตัวมันเอง ยิ่งถ้าไม่มีเสรีภาพมากเท่าไหร่ งานศิลปะก็จะยิ่งทำงานอย่างเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น ในสภาพที่มันถูกกดทับหรือถูกห้ามจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการทำงานหรือความอยากเป็นอิสระ แล้วมันจะพาเราไปสู่อาณาบริเวณของความหมายใหม่ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รามิล: ศิลปะคือภาระอันหนักอึ้งของการมีชีวิตอยู่ในข้อความเก่าๆ ที่บอกว่า ‘งานศิลปะจะทำงานขัดเกลาจิตวิญญาณ เป็นหนทางแห่งความรู้สึกที่ไหลลึกเข้าภายใน’ ฟังดูน้ำเน่านะครับ มันมีความรู้สึกอยู่ มนุษย์มีความรู้สึกอยู่ เราจะรู้สึกสะใจกับการได้เห็นใครสักคนหนึ่งถูกทำให้ตายได้อย่างไร มันก็เป็นภาระอันหนักอึ้งของงานศิลปะ ที่ไม่ใช่แค่ปลอบประโลมในวันที่โหดร้าย แต่มันคือการต่อสู้ที่ขึงขังในการพูดถึงสิ่งที่เราไม่อาจพูดได้ 

ไม่มีทางครับ ไม่มีวันที่เราจะไม่มีเสรีภาพ แล้วก็ไม่มีวันที่เราจะไม่มีความสร้างสรรค์ มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นที่เราจะสูญสิ้นเสรีภาพและความสร้างสรรค์ไป นั่นคือความตาย

‘เท็น’ – ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์

รอบนี้มีความกังวลใจกว่าคดีอื่นๆ ที่เคยโดนไหม

เท็น: ผมก็ไม่เคยโดน ม.112 ก็นับเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะ และก็มีอะไรให้ตัดสินใจ เตรียมใจไว้แล้วระดับหนึ่ง จะเป็นยังไงต่อไป เราไม่มั่นใจว่ามันจะดาร์กกับเราแค่ไหน 

ไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมหรืออะไร

เท็น: ทุกอย่าง (ตอบเร็ว) เราจะเป็นอย่างนี้ไปได้นานสักแค่ไหน กระบวนการยุติธรรมก็เห็นๆ อยู่ว่าเป็นยังไง แล้วก็การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป มันทำให้เราไม่สะดวกหลายๆ อย่าง ทั้งการทำงานหรือทำอย่างอื่นในชีวิต 

รามิล: ผมก็กังวลนะครับ กังวลว่าศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนจะเหนื่อยตายซะก่อน พ่อแม่พี่น้องที่จบนิติศาสตร์มาใหม่ สอบตั๋วทนาย ใจใฝ่รักประชาธิปไตยก็ไปเป็นทนายอาสาสมัครให้ศูนย์ทนายฯ ได้นะครับ การขึ้นศาลนั้นผมแค่ทำตัวให้ว่าง แล้วก็ทำใจ แต่คนที่ทำงานอย่างหนักก็คือศูนย์ทนายฯ

ส่วนชีวิตที่เหลือของผมก็มีแค่สิ่งที่เราทำเท่านั้นแหละ ที่จะบอกได้ว่าเราเป็นใคร 

โดนคดีแบบนี้ ครอบครัวเป็นห่วงไหม

เท็น: ครอบครัวก็เป็นห่วง อารมณ์แบบว่าอย่าไปทำอะไรมาก เราทำอะไรไม่ได้หรอก เราดูเป็นเด็กในสายตาครอบครัวเสมอ เขาอยากให้เรามีชีวิตในแบบที่เขาคาดหวัง อย่าไปหือไปอือ เรายังเด็กอยู่ เรายังคิดไม่ได้หรอก อย่าทำตัวให้เป็นปัญหามากนัก ผมก็ครับ ครับ ตอบรับตามนั้น แล้วจะยังไงต่อก็ขึ้นอยู่กับตัวผม 

รามิล: เรื่องครอบครัว เราปฏิเสธความสัมพันธ์กับครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ก็ทำความเข้าใจกันไป เราเลือกแบบนี้มันก็คือความรับผิดชอบที่เราจะต้องอธิบายให้เขาได้รับรู้ ไม่ต้องเข้าใจกันหรอก การอธิบายให้เขาเข้าใจมันยาก ก็รักกันบ้าง โลกโหดร้ายเกินไปแล้ว แค่เรารักกันก็พอ ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้  

ถ้าต้องเข้าคุกจริงๆ มีอะไรที่อยากจะพูดกับผู้บริหารคณะ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย หรือคนที่ฟ้องพวกคุณไหม 

รามิล: ก็ถือว่าเป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์อย่างหนึ่ง แต่นานหน่อยหรือเปล่าวะ (หัวเราะ)

ผมขอฝากถึงผู้บริหาร ก็ลองดูแล้วกัน ว่าเราจะอยู่ในประวัติศาสตร์ที่ผู้คนจดจำว่าเป็นผู้บริหารเผด็จการ เพื่อที่ตัวเองจะได้มีอำนาจ มีบารมีอยู่ในสังคมแหลกเหลวแบบนี้เหรอ สิ่งที่เราทำไปแล้วมันกลับไปเปลี่ยนกลับไปแก้อะไรไม่ได้ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนตอนนี้คนอื่นก็พร้อมที่จะให้อภัย แล้วเราก็จะจดจำกันใหม่ในฐานะของคนที่กลับมายืนเคียงข้างผู้คน

เท็น: ประวัติศาสตร์การต่อสู้มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การต่อสู้ ทำอะไรก็ได้ จัดสรรกันเอา อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันมีความหมายหมดแหละ 

‘รามิล’ – วิธญา คลังนิล

การที่พวกคุณเป็นนักศึกษาทำงานศิลปะในมหาวิทยาลัย แล้วโดนคดี ม.112 คิดว่ามันทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ตาสว่าง’ ในวงการศิลปะได้ไหม 

เท็น: สว่างหรือไม่สว่างไม่รู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้เขารู้ว่ามันเข้ามาใกล้ตัวพวกเขามากๆ แล้ว ไม่ว่าจะแวดวงศิลปะหรือแวดวงนักศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาก็มีนักศึกษาและประชาชนโดนกันจำนวนมาก

คำว่า ‘ตาสว่าง’ บางคนก็รู้อยู่แล้วว่ามีอะไรอยู่ในระหว่างบรรทัดหรือปฏิบัติการพวกนั้น แต่มันจะเป็นอย่างไรต่อก็ขึ้นอยู่กับแอ็กชันของเราทั้งนั้น ที่จะทำอะไรต่อไป

รามิล: เราก็คือความมืดบอด มันเผชิญกันอยู่ตรงหน้า แล้วเราแล้วจะหลบเลี่ยงไปได้ยังไง แต่ดีใจที่เห็นเพื่อนๆ ทำสุดความสามารถในเงื่อนไขที่แต่ละคนรับได้ การได้รู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนทำให้เราไม่เหงาเกินไปในโลกใบนี้ 

ฝากถึงศิลปินใหญ่ ในวันที่เขาออกมาฆ่าผู้คน แล้วคุณเงียบปากเสีย ในวันที่เขาเดินมาฆ่าคุณ คุณจะไม่เหลือเพื่อนเลยที่จะเคียงข้างกัน คุณจะตายอย่างโดดเดี่ยว แล้วคุณจะอยู่อย่างเจ็บปวด เพราะฉะนั้น อย่าหลอกตัวเองเลย 

 

แม้บทสนทนานี้ทำได้เพียงเปิดเผยความคิดและมุมมองต่อศิลปะกับการเมืองของทั้งคู่ โดยไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักเกี่ยวกับผลงานศิลปะชิ้นที่ถูกแจ้งความ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี แต่มีข้อความหนึ่งบนผ้าใบสีขาว-แดงผืนนั้น ที่อยู่ในความทรงจำของรามิลและเท็น ข้อความนั้นเขียนว่า “อย่าผลักไสเพื่อนมนุษย์” 

ฉันก็ได้แต่หวังว่าคนที่จับจ้องมองหาตัวเลขหรือข้อความที่พวกเขาต้องการบนผ้าใบผืนนั้น จะเห็นข้อความนี้ด้วยเช่นกัน และได้โปรดอย่าผลักไสศิลปะและศิลปินให้อยู่นอกพื้นที่ทางสังคมและการเมือง ด้วยการใช้กฎหมายปิดปากพวกเขาอีก ไม่ว่าวันนี้หรือวันข้างหน้า

Tags: , , , , , , , , , ,