นอกจากโรคไข้เลือดออกแล้ว ช่วงต้นฤดูฝนยังเป็นช่วงที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงไปรับวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่ได้ “ฟรี” ที่โรงพยาบาลรัฐใกล้บ้าน โดยในปีนี้ (2561) สำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพิ่มเติมกลุ่มเสี่ยงครอบคลุมอีก 3 กลุ่มคือ ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคอ้วน (น้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัมหรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 ขึ้นไป) จากกลุ่มเดิม 4 กลุ่ม ได้แก่ คนท้องที่มีอายุครรภ์มากกว่า 4 เดือน, เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี, โรคเรื้อรัง (โรคถุงลมโป่งพอง หืด หัวใจ อัมพฤกษ์อัมพาต ไตวาย เบาหวาน และมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด) และผู้สูงอายุอายุ (มากกว่า 65 ปี)

ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถรับวัคซีนที่โรงพยาบาลเอกชนในราคา “โปรโมชั่น”

สาเหตุที่ต้องฉีดวัคซีนในช่วงนี้ก็เนื่องจากประเทศในเขตร้อน (tropical and subtropical regions) อย่างบ้านเรา มักพบการระบาดสูงสุดในช่วงฤดูฝน ซึ่งทั้งอุณหภูมิและความชื้นในอากาศที่สูงขึ้นต่างก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ไวรัสแพร่กระจายได้ดี แต่บางปีอาจพบในฤดูแล้งร่วมด้วย ตรงกันข้ามกับประเทศในเขตอบอุ่น (temperate region) ซึ่งจะระบาดในช่วงฤดูหนาว คือระหว่าง ต.ค.-พ.ค.ในซีกโลกเหนือ และระหว่าง เม.ย.-ต.ค.ในซีกโลกใต้ [1,2] ส่งผลให้สายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดระหว่างสองซีกโลกไม่เหมือนกัน

สำหรับประเทศไทย ถึงแม้จะตั้งอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร แต่การพยากรณ์สายพันธุ์ของไวรัสที่คาดว่าจะระบาด จะอ้างอิงข้อมูลของซีกโลกใต้ เนื่องจากฤดูฝนในบ้านเราตรงกับฤดูหนาวของประเทศในซีกโลกใต้พอดี

แต่ต่อจากนี้อีกหนึ่งเดือนไปจนตลอดทั้งปี คำถามที่ผู้ป่วยโรคหวัดมักจะสงสัยประจำคือ  “ฉีดวัคซีนแล้ว ทำไมถึงยังเป็นไข้หวัด (ใหญ่) อยู่?” ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีประสิทธิภาพอยู่ระหว่าง 40-60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะ 4 เหตุผลเท่าที่ผมในฐานะหมอทั่วไปจะอธิบายได้ ได้แก่

1. ไวรัสไข้หวัดใหญ่ในธรรมชาติกลายพันธุ์ง่าย

ไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ มี 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ A, B และ C โดยแต่ละสายพันธุ์หลักก็แตกสาแหรกแยกสายพันธุ์ย่อยลงไปอีก เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย เพราะไม่มีระบบคอยตรวจสอบความสะเพร่าที่เกิดขึ้นระหว่างการทำสำเนาเพิ่มจำนวนของสารพันธุกรรม แม้จะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ คล้ายกับการลอกการบ้านตอนเช้าที่มีสมุดการบ้านของ ด.ช. กอไก่ เป็นต้นแบบส่งให้ ด.ญ.ขอไข่ ลอกผิดลอกถูก ต่อมา คอควาย งองู จอจาน ฉอฉิ่งมาลอกต่อแบบผิดๆ ถูกๆ สุดท้ายก็ได้การบ้านหน้าตาไม่เหมือนเดิม กลายเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา เรียกว่า “antigenic shift”  

ส่วนอีกสาเหตุคือ “antigenic drift” เกิดจากการผสมชิ้นส่วนโปรตีนที่ผิวเซลล์ (H: hemagglutinin และ N: neuraminidase) ของไวรัสข้ามสายพันธุ์กัน ทำให้เกิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ขึ้นมา เปรียบเทียบคล้ายกับโรงงานทำลิ้นจี่กระป๋อง แต่เกิดความผิดพลาด มีการผสมเอาสับปะรดหรือเงาะผสมลงไปด้วย กลายเป็นลิ้นจี่กระป๋องสูตรใหม่ การกลายพันธุ์นี้มักเกิดขึ้นในสัตว์ก่อนที่จะติดต่อจากคนสู่คนอย่างที่เคยมีการระบาดของไข้หวัดนก (H5N1) เมื่อปี 2546-2547 ที่มีสัตว์ปีกป่วยตายจำนวนมาก และการระบาดของ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (H1N1) 2009” ซึ่งเกิดจากการผสมชิ้นส่วนกันระหว่างไวรัสที่ติดในนก หมู และคน จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยเดินในที่ชุมชน และโรงเรียนของผมต้องปิดเพราะมีนักเรียนคนหนึ่งเป็นหวัดและได้รับการยืนยันว่าเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่

ดังนั้นระยะเวลากว่าที่วัคซีนจะถูกกำหนดว่าต้องครอบคลุมเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใดบ้าง มีการกำหนดล่วงหน้ามาตั้งแต่ปลายปี 2560 และกว่าที่วัคซีนจะถูกผลิตขึ้นมาฉีดในเดือนมิถุนายน 2561 ไวรัสไข้หวัดใหญ่ในธรรมชาติที่คาดว่าจะระบาดก็เกิดการกลายพันธุ์ทั้ง antigenic shift และ drift ไปไหนต่อไหนแล้วก็ได้

2. วัคซีนที่ฉีดไม่ครอบคลุมไวรัสไข้หวัดใหญ่ทุกชนิด

ในเมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์และหลายชนิด การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงเปรียบเสมือนการซื้อหวยชุดใหญ่ต่อจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเป็นผู้พยากรณ์จากสถิติว่าในปีนั้นๆ จะมีสายพันธุ์ใดระบาดบ้าง

ยกตัวอย่างวัคซีน “ฟรี” ที่ฉีดในปี 2561 นี้ ประกอบด้วยวัคซีนที่ครอบคลุมการติดเชื้อ 3 สายพันธุ์ (Trivalent vaccine) ได้แก่ สายพันธุ์ A สองชนิด และสายพันธุ์ B หนึ่งชนิด ได้แก่

A/Michigan/45/2015(H1N1) pdm09 ชนิดนี้ใกล้เคียงกับ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” ซึ่งคาดว่าจะยังวนเวียนระบาดต่อไปอีกหลายปี

A/Singapore/INFIMH-16-0019/2016 (H3N2) หวยชนิดนี้ออกในปี 2560 แต่ WHO ซื้อผิด เพราะซื้อเป็น  A/Hong Kong/4801/2014(H3N2) แทน จึงได้ซื้อใหม่ในปีนี้ ซึ่งน่าจะถูก เพราะข้อมูลการระบาดตั้งแต่ต้นปี 2561 พบมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของสายพันธุ์ H3N2

B/Phuket/3073/2013 จัดอยู่ในตระกูลยามากะตะ (Yamagata) ซึ่งมีแนวโน้มพบการระบาดมากขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ WHO คาดการณ์ผิด (อีกแล้ว!) ในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อีกตระกูลหนึ่งคือวิคตอเรีย (Victoria) พบน้อยลง ทำให้ปีนี้มีหวังว่าจะถูกหวยกับเขาบ้าง

ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนจะมีการโฆษณาว่ามีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ครอบคลุมเชื้อมากกว่าเป็น 4 สายพันธุ์ (quadrivalent vaccine) ซึ่งครอบคลุมไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อีกตระกูลหนึ่งด้วย คือ B/Brisbane/60/2008 แต่เนื่องจากมีโอกาสพบน้อย (ข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2561 ไม่พบการระบาดเลย) จึงไม่คุ้มค่าที่จะใช้ฉีดกับประชากรจำนวนมาก

3. ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ใช้เป็นต้นแบบในการผลิตวัคซีนก็กลายพันธุ์

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคที่ตายแล้วทั้งตัวมากระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่จะต้องเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสให้มีปริมาณมากพอที่จะผลิตวัคซีนเสียก่อน ด้วยการฉีดไวรัสต้นแบบเข้าไปในไข่ไก่ที่ได้รับการผสมและบ่มเพาะเป็นเวลาหลายวัน (egg-based flu vaccine) จากนั้นถึงจะนำไวรัสไปทำให้ตายและสกัดให้บริสุทธิ์

ในระหว่างกระบวนการเพาะเลี้ยงในไข่นี้เองที่ทำให้ไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ไม่ต่างไปจากไวรัสในธรรมชาติ โดยเฉพาะไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) ทำให้ถึงแม้จะซื้อหวยถูกสายพันธุ์ แต่วัคซีนก็ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้ออยู่ดี

ในปัจจุบันจะมีการคิดค้นวิธีเพาะเลี้ยงไวรัสโดยใช้เซลล์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (cell-based flu vaccine) หรือเซลล์แมลง (recombinant flu vaccine) แทน ซึ่งสามารถป้องกันการกลายพันธุ์ของไวรัสต้นแบบได้ และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แล้ว แต่วัคซีนหลักที่ใช้ในไทยยังผลิตจากการเพาะเลี้ยงไวรัสในไข่ โดยเมื่อกลางฝนปีที่แล้ว องค์การเภสัชกรรมก็เพิ่งเปิดให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตวัคซีนที่ จังหวัดสระบุรี และประกาศว่าจะสามารถผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไข่ไก่ฟักได้เองภายในปี 2563

4. โรคหวัดเกิดจากไวรัสหลายกลุ่ม ไม่เฉพาะแค่ไวรัสไข้หวัดใหญ่

ไข้ ไอแห้งๆ หรืออาจมีเสมหะ มีน้ำมูกไหล เป็นอาการของโรคหวัดหรือการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งมีการส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ โดยอันดับที่ 1 คือไรโนไวรัส (Rhinovirus) รองลงมาเป็นโคโรนาไวรัส (Coronavirus) อันดับที่ 3 คือไวรัสไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆ อีก เช่น ไวรัสจำพวกข้างเคียงไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Parainfluenza) ไวรัสอาร์เอสวี (RSV: respiratory syncytial virus) อะดีโนไวรัส (Adenovirus) เอนเทอโรไวรัส (Enternovirus) เป็นต้น ดังนั้นถึงแม้จะฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไปแล้ว แต่เราก็ยังสามารถเป็นหวัดจากการติดเชื้อที่เหลือได้อยู่ดี ทว่าอาการจะไม่หนักเท่า เช่น ไข้ต่ำๆ ไม่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

อย่างไรก็ตามเหตุผลทั้ง 4 ข้อนี้ก็ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่จะไม่ไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ “ฟรี” ที่โรงพยาบาลรัฐใกล้บ้าน เพราะแค่ชื่อไวรัสก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่โรคหวัด “ธรรมดา” บ้านๆ หากติดเชื้อขึ้นมาแล้ว ก็อาจมีอาการหนักกว่าคนทั่วไป ตั้งแต่เหนื่อยหอบต้องนอนโรงพยาบาลนาน ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้ ส่วนประชาชนทั่วไปก็ใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะคุ้มค่ากับราคาหรือไม่

แหล่งข้อมูล

Tags: , ,