สิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสน้อย ทั้งๆ ที่เป็นเมืองท่าของโลก และมีคนจีนแผ่นดินใหญ่เข้าออกมากมายก่อนหน้าการระบาดใหญ่ ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้เพราะรัฐบาลสร้างระบบตรวจหา ตามรอย และกักกันโรคที่มีประสิทธิภาพสูง ผู้นำสามารถสื่อสารทำความเข้าใจจนประชาชนเกิดความอุ่นใจและเชื่อถือมาตรการของรัฐ
จนถึงเมื่อวันเสาร์ (14 มี.ค.) สิงคโปร์ยังคงไม่มีผู้เสียชีวิตจากโคโรนาไวรัสแม้แต่รายเดียว ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ประมาณ 200 คนเศษ จำนวนคนหายป่วยอยู่ที่ประมาณ 100 คน สถิติเหล่านี้ทำให้สิงคโปร์ได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติที่สามารถควบคุมโรคได้อย่างดีเยี่ยม
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ออกปากชมเปาะตั้งแต่เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ว่า รู้สึกประทับใจกับความพยายามของสิงคโปร์ที่จะติดตามค้นหาผู้ติดเชื้อเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19
ถึงแม้มาตรการควบคุมโรคของสิงคโปร์โดยพื้นฐานแล้ว ละม้ายคล้ายคลึงกับนานาชาติ ด้วยว่าใช้หลักตำราอย่างเดียวกัน เช่น จำกัดการเดินทาง ลดการพบปะในที่ชุมนุมชน ทว่าประเทศเกาะแห่งนี้ยังมีจุดเด่นอย่างน้อย 2 อย่างที่ทำได้เข้มข้นกว่ามาตรฐานทั่วไป
ตระเตรียมระบบพรักพร้อม
สิงคโปร์ดำเนินการกักกันโรคอย่างเข้มงวด พยายามติดตามแกะรอยคนที่พบสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยให้ได้ทุกราย และมีมาตรการลงโทษคนที่ละเมิดกฎการกักบริเวณหรือให้ข้อมูลเท็จ ในขณะที่ระบบสาธารณสุขพรั่งพร้อมด้วยบุคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือ
นับแต่เริ่มพบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อ 23 มกราคม สิงคโปร์เป็นประเทศแรกๆ ที่ปิดรับคนเดินทางที่เพิ่งไปจีนและบางพื้นที่ของเกาหลีใต้ คนที่ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อต้องเข้ารับการกักกันโรคในโรงพยาบาลหรือที่บ้าน และมีการสอบสวนว่าคนเหล่านั้นได้ใกล้ชิดกับใครมาบ้าง แล้วติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดเพื่อกักโรคเป็นเวลา 2 สัปดาห์
สิงคโปร์จัดการคนที่ไม่ให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง สามีภรรยาชาวจีนคู่หนึ่งโกหกเรื่องแหล่งพำนัก ทางการแจ้งข้อหาดำเนินคดีตามกฎหมายโรคติดต่อ ซึ่งปรากฏว่าคนหนึ่งติดเชื้อ อีกคนหนึ่งจึงต้องถูกขึ้นบัญชีเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดและถูกกักบริเวณ คนที่ถูกกำหนดให้กักตัวเองต้องรายงานตำแหน่งแห่งที่ให้ทางการทราบผ่านซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่
อีกกรณีเป็นชายวัย 45 ปีที่ไม่ยอมกักบริเวณตัวเอง เมื่อเจ้าหน้าที่โทร.เช็คก็ไม่ยอมรับสาย พอตามไปดูที่บ้านก็ไม่เจอตัว จึงถูกเพิกถอนสิทธิการอยู่อาศัยถาวรในสิงคโปร์ ขณะเดียวกัน นักศึกษาต่างชาติ 2 คนถูกยกเลิกวีซ่าเพราะโกหกเรื่องการเดินทาง
รัฐมนตรีมหาดไทย เค. จันมุกัม อธิบายความจำเป็นของมาตรการลงโทษว่า บางคนบอกว่ารุนแรงไปหน่อย แต่ในช่วงเวลาอย่างนี้ รัฐบาลต้องการความร่วมมือจากทุกคน ประชาชนต้องรู้ว่า เราจะไม่ลังเลที่จะจัดการอย่างเฉียบขาด
ในกรณีการกักกันโรคที่โรคพยาบาลนั้น สิงคโปร์มีศูนย์รองรับขนาด 330 เตียง ซึ่งเพิ่งเปิดใช้งานเมื่อปีที่แล้ว ความพร้อมในจุดนี้เกิดจากการถอดบทเรียนเมื่อครั้งโรคซาร์สระบาดเมื่อปี 2003 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในสิงคโปร์ 33 ราย
ทางการยังช่วยให้พลเมืองระมัดระวังการติดเชื้อได้ดีขึ้น โดยเปิดเผยข้อมูลการระบาดอย่างละเอียดในทันที เช่น คนป่วยมีอายุเท่าไร เพศใด สัญชาติอะไร อาศัยอยู่ที่ไหน เดินทางอย่างไร ทำงานที่ไหน และมีความเชื่อมโยงกับผู้ติดเชื้อรายอื่นๆ อย่างไร
สื่อสารจับใจในภาวะวิกฤต
ข่าวการระบาดของโรคใหม่ที่ยังไม่มียารักษาโดยตรง ย่อมสร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คน ในห้วงเวลาอย่างนี้ ภาวะผู้นำเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ที่สำคัญ คือ ความเชื่อถือของประชาชน
สิ่งแรกๆ ที่รัฐบาลสิงคโปร์ทำ คือ ประกาศมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระงับกิจกรรมประดามี พร้อมกับช่วยเหลือประชาชนในการป้องกันตนเอง คงยังจำกันได้ถึงภาพการระดมกำลังทหารมาช่วยกันบรรจุหีบห่อหน้ากากอนามัย แจกจ่ายไปยังทุกครัวเรือน
ตอนที่ประชาชนแตกตื่น พากันซื้อข้าวสารอาหารแห้งตุนเป็นเสบียง เพราะกลัวออกจากบ้านไม่ได้เมื่อไวรัสระบาดหนักเหมือนในเมืองจีน นายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ออกโทรทัศน์พูดจาให้ผู้คนคลายกังวล ด้วยการยืนยันว่า ข้าวของจะมีพอเพียง พร้อมกับอธิบายให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค เช่น อัตราการตายไม่ได้สูง อาการจากการติดเชื้อไม่ได้หนักหนารุนแรง นั่นทำให้ผู้คนค่อยสงบลงได้
หมาดๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (12 มี.ค.) ผู้นำสิงคโปร์ปราศรัยทางโทรทัศน์ บอกกล่าวให้ประชาชนเตรียมตัวเตรียมใจ ว่า โควิด-19 อาจระบาดต่อไปอีกพักใหญ่ บางทีอาจกินเวลาเป็นปี รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับไว้แล้ว แต่จะพยายามไม่ปิดประเทศ
(ล่าสุด สิงคโปร์ออกมาตรการให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ต้องกักตัวดูอาการ 14 วัน โดยมาตรการนี้จะมีผลตั้งแต่เวลา 23.59 น. ของวันที่ 16 มีนาคม)
ลีบอกถึงทิศทางการรับมือว่า ถึงแม้ทางการได้เตรียมห้องไอซียูและเตียงไว้รองรับจำนวนคนไข้ที่อาจพุ่งสูงลิบเอาไว้แล้ว แต่ถ้าเชื้อได้ระบาดจนเอาไม่อยู่ โรงพยาบาลต่างๆ คงมีที่ไม่พอสำหรับรักษาคนไข้ทุกราย กักกันโรคทุกคน ถึงตอนนั้น จำเป็นต้องรับคนไข้เฉพาะรายที่มีอาการหนัก คนที่มีอาการไม่มากคงต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้าน
ในสถานการณ์ระบาดหนัก รัฐบาลจะเพิ่มมาตรการควบคุมขึ้นอีก เช่น ปิดโรงเรียนชั่วคราว ลดชั่วโมงทำงาน ให้พนักงานทำงานที่บ้าน จนกว่าเชื้อจะทุเลา
“เราจะเหยียบเบรกเพื่อชะลอการระบาด ป้องกันไม่ให้ระบบสาธารณสุขของเราล่ม และดึงตัวเลขกลับลงมา” ลีบอกกับชาวสิงคโปร์ “เราอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มสักระยะหนึ่ง แต่เราไม่สามารถปิดขังตัวเองจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงได้”
ในโอกาสเดียวกัน ลียังบอกด้วยว่า รัฐบาลกำลังจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่สอง เพื่อช่วยเหลือบริษัทห้างร้านและพนักงาน โดยเฉพาะพวกที่ขาดรายได้เพราะถูกลดงานหรือปลดจากงาน ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ รัฐบาลประกาศแพ็กเกจแรกด้วยเงิน 5,600 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 126,700 ล้านบาท
ในภาวะวิกฤตของประเทศ ความโปร่งใสและถูกต้องของข้อมูลสถานการณ์ บวกกับภาวะผู้นำที่สร้างความอุ่นอกอุ่นใจ คือ สิ่งที่พลเมืองเรียกร้องต้องการ.
อ้างอิง :
The New Paper, 20 February 2020
World Economic Forum, 5 March 2020
Asian Nikkei Review, 8 March 2020
Los Angeles Times, 11 March 2020
South China Morning Post, 12 March 2020
Channel News Asia, 15 March 2020
ภาพ: ROSLAN RAHMAN / AFP
Tags: โควิด-19, สิงคโปร์