1.

“มันคือโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายอย่างมาก แต่กลับไม่มีใครจดจำได้เลย”

วันที่ 16 กันยายน ปี 1920 โลกเพิ่งจะฟื้นตัวจากหายนะของสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยที่แห่งนี้ ในย่านวอลล์สตรีท รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา คือศูนย์กลางการเงินของโลกในการซื้อขายหุ้น มีนายทุนและธนาคารอันมั่งคั่ง ที่ผลักดันช่วยกันขับเคลื่อนกงล้อแห่งทุนนิยมอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

ในวันดังกล่าว พยากรณ์อากาศรายงานว่าจะมีฝนตกลงในพื้นที่ และในเวลานั้นมีการลั่นระฆังโบสถ์ซึ่งอยู่ใกล้กับวอลล์สตรีท เพื่อบอกเวลาเที่ยงตรง ท่ามกลางพนักงาน คนทั่วไป นายธนาคาร และนายหน้าตลาดหุ้นที่ต่างเดินผ่านไปผ่านมา ล้วนคิดแต่ว่าจะขูดรีดกำไรจากอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

ขณะที่เจ้าของธนาคารต่างกำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยในตึกโอฬารสูงใหญ่โต โชว์ความยิ่งใหญ่แห่งโลกเงินตรา ด้านถนนเบื้องล่าง รถยนต์กำลังสัญจรไปมา เด็กวิ่งส่งของกันอย่างคึกคัก เป็นแค่อีกวันของวอลล์สตรีทที่คงไม่ต่างจากวันไหนๆ ทุกคนทำงาน เพื่อทำให้โลกทุนนิยมใบนี้ขับเคลื่อนไปได้

จึงทำให้ไม่มีแม้แต่คนเดียวจะเอะใจ หรือผิดสังเกตรถม้าลาก ซึ่งจอดนิ่งอยู่ริมหัวมุมถนน เพราะคนที่เกี่ยวข้องในย่านนี้ทั้งหมดกำลังสนใจว่า หุ้นตัวไหนจะขึ้น หุ้นบริษัทใดกำลังจะแย่ และควรจะเทขายอย่างฉับพลันมากกว่า

ไม่มีแม้แต่คนเดียวจะใส่ใจกับเสียงระฆังที่ถูกลั่นเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแจ้งว่าขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว พลันที่เวลาเดินมาถึง 12.01 นาฬิกา ทันใดนั้นรถม้าลากที่จอดสงบนิ่งอยู่ ก็ระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง ความแรงของมัน กระชากกระจก ตึกรามบ้านช่อง รถรา ผู้คนแถวนั้น ให้กระเด็นกระจายไปคนละทิศคนละทาง

นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หนุ่มที่ชื่อว่า โจเซฟ พี เคนเนดี (Joseph P. Kennedy) ถึงกับล้มไปกองกับพื้น หัวฟาดอย่างแรง เกือบที่จะทำให้ลูกชายวัยเพียง 3 ขวบ ที่ชื่อว่าจอห์น เอฟ เคนเนดี (John F. Kennedy) กำพร้าพ่อ แต่โจเซฟไม่เป็นอะไรมาก เขาโชคดี แตกต่างจากใครหลายคนในวันนั้น ที่ไม่มีโอกาสกลับไปหาลูก คนรัก หรือครอบครัวอีกต่อไป

“เสียงระเบิดมันดังสนั่นมาก” พนักงานธนาคารเจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเอกชนที่ทรงพลัง เล่าให้นักข่าวฟัง “ผมเห็นเปลวควันลอยพวยพุ่งไปในอากาศ และเห็นคนกระเด็นล้มกับพื้น โดยที่ไฟยังไหม้เสื้อผ้าเขาอยู่” 

เศษเหล็กและเศษกระจกจากแรงระเบิด ปลิวไปโดนประชาชนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นจำนวนมาก บางชิ้นถึงกับพุ่งทะลุตึกเข้าเสียบหัวของพนักงานธนาคารซึ่งนั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะดับอนาถ

นี่คือเหตุการณ์สำคัญที่อเมริการู้จักกับการก่อการร้าย ก่อนที่จะมีคำบัญญัตินี้ขึ้นมา มันคือความรุนแรงที่คนร้ายกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ มันคือความเลวร้าย 21 ปี ก่อนกองทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิญี่ปุ่นจะถล่มฐานทัพเรือเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ที่ฮาวาย อันทำให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และมันคือความเลวร้าย 81 ปี ก่อนเครื่องบินจะพุ่งชนตึกเเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ เมืองนิวยอร์ก อันทำให้อเมริกาบุกอัฟกานิสถานและอิรัก เริ่มต้นศักราชปราบปรามผู้ก่อการร้าย

เหตุระเบิดที่วอลล์สตรีท ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้นักประวัติศาสตร์ฉงนใจจนถึงทุกวันนี้ ก็คือ หลังเกิดเรื่องนี้ ทางเจ้าหน้าที่ไม่อาจจับกุมคนร้ายได้แม้แต่คนเดียว

และเรื่องทางทั้งหมดก็กลายเป็นคดีปริศนาสะเทือนขวัญอเมริกามาจนถึงปัจจุบัน

2.

หลังเกิดเหตุ ตำรวจนิวยอร์ก และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เข้าช่วยเหลือ ดับไฟ ดูแลโยกย้ายคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 บอกว่า การระเบิดครั้งนี้ ทำให้พวกเขานึกถึงสมรภูมิรบเลย

“มีแต่คนตายเกลื่อนไปหมด” เขาว่าเช่นนั้น

เจ้าหน้าที่ระดมกำลังนับร้อย ก่อนจะพบว่ามีศพนอนดับสลดถึง 30 ร่างด้วยกัน ขณะที่คนเจ็บพาตัวส่งโรงพยาบาลนับร้อย ต่อมามีคนทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมาเพิ่มอีก โดยทางการสรุปว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 38 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 143 รายเป็นอย่างต่ำ แถมยังมีม้าที่อยู่ในรถลากนั้นตายทันที 1 ตัว 

เรื่องเหลือเชื่อก็คือ ไม่มีนักธุรกิจนายทุนแห่งวอลล์สตรีทแม้แต่คนเดียวที่เสียชีวิต โดยคนเจ็บส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของริมถนน คนทั่วไป เสมียน และพนักงานบริษัทเท่านั้น

นั่นทำให้คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ต่างประณามการก่อเหตุนี้ว่า แรงระเบิดไม่ได้มุ่งเป้าต่อบุคคลหรือทรัพย์สินเลย มันพุ่งตรงไปยังสาธารณชนที่เผอิญอยู่ใกล้หรือผ่านมาในจุดเกิดเหตุ

ถือเป็นนิยามในปัจจุบันของคำว่าการก่อการร้ายนั่นเอง

เรื่องนี้ถือเป็นเหตุใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอย่างมาก นอกจากตำรวจนิวยอร์กแล้ว ทางรัฐบาลได้ส่งสำนักงานสืบสวน (Bureau of Investigation) บรรพบุรุษของสำนักงานสอบสวนกลาง (Federal Bureau of Investigation) หรือเอฟบีไอ (FBI) เข้ามาในพื้นที่ทันที

ในยุคนั้นการเก็บหลักฐานยังไม่ละเอียดเท่าปัจจุบัน จึงไม่มีการกันคนออกจากจุดเกิดเหตุเป็นวงกว้าง ประชาชนอเมริกันมุงเข้าล้อมดูเศษซากแห่งแรงระเบิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็เร่งเคลียร์คนเจ็บออก ปัดกวาดชิ้นส่วนเหล็กที่ถูกอัดแน่นในระเบิด ใช้เวลาเพียงคืนเดียว จุดเกิดเหตุก็สะอาดหมดจด เหมือนไม่เคยมีเหตุสยองนี้ขึ้น รอยเลือดถูกชะล้าง ศพถูกยก ทุกอย่างที่บ่งบอกว่าเคยมีโศกนาฏกรรมหายไปในฉับพลัน

ว่ากันว่าส่วนหนึ่งมาจากคำวิงวอนของนายทุนพ่อมดการเงินแห่งวอลล์สตรีททั้งหลายด้วย

จึงเหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยกำแพงที่โดนเศษระเบิด กระเด็นใส่ และยังมีให้เห็นได้ในปัจจุบัน

จากการสอบสวนพบว่า รถลากม้าที่จอดไว้ริมถนนคือจุดที่ระเบิดทำงาน เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด พวกเขาพบว่า ระเบิดที่ยัดอยู่ในรถดังกล่าวมีขนาดถึง 45 กิโลกรัม แถมยังบรรจุด้วยเหล็ก เมื่อมันระเบิดออกไป เศษชิ้นส่วนเหล่านี้จึงทำให้มีคนตายเป็นจำนวนมาก

แต่เมื่อถึงจุดนี้ กลับไม่มีกลุ่มใดออกมายอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุนี้ นั่นทำให้นายทุน ฝ่ายขวา เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่า คนร้ายจะต้องเป็นนักปฏิวัติที่หลงใหลในต่อการปฏิวัติล้มเปลี่ยนรัสเซียให้เข้าสู่สหภาพโซเวียต ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์อย่างแน่นอน

นั่นหมายความว่า คนที่ก่อเหตุคือกองทัพแดงนั่นเอง

นักธุรกิจถ่านหินบอกกับนักข่าวว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย ระเบิดนี้เป็นฝีมือของพวกบอลเชวิก (Bolshevik) แน่ๆ”

3.

เมื่อมีการกระพือว่าคนที่ทำคือพวกคอมมิวนิสต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวน ซึ่งมีอายุได้เพียง 24 ปี อย่าง เจ เอดการ์ ฮูเวอร์ (J. Edgar Hoover) ก็ใช้มาตรการเข้มข้นต่อพวกฝ่ายซ้ายในอเมริกาในทันที แม้จะมีกฎหมายเนรเทศกลุ่มคนเหล่านี้ในปี 1919 แต่พลันที่มีการระเบิดย่านวอลล์สตรีท ก็มีการกวาดล้างกลุ่มที่ฝ่ายรัฐมอง (ไปเอง) ว่า หัวรุนแรง ด้วยการขับไล่ออกจากประเทศ

ทางฮูเวอร์เชื่อว่า คนที่ก่อเหตุนี้ ต้องเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ที่รังเกียจนายทุน ระบบธนาคาร ตลาดหุ้น ชิงชังเศรษฐี จนวางระเบิด และทำให้คนธรรมดานี่แหละตายไป ส่วนพวกคนร่ำรวยมีชีวิตปกติสุขในตึกสูงจะกระทบบ้างก็เพียงเสียงอันดังหนวกหูเท่านั้น

ทางรัฐบาลเด้งรับความกลัวคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายทันที มีการออกกฎหมายเนรเทศคนเหล่านี้กลับประเทศบ้านเกิดตามมาอีกหลายฉบับ และจำกัดการอพยพเข้าเมือง จากประชาชนในประเทศยุโรปตะวันออก เพราะกลัวว่าคนพวกนี้จะเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ ทั้งที่หลายคนก็รังเกียจระบอบการปกครองนั้น และอยากมาอยู่ในอเมริกาแทน ยังไม่นับการคุกคามเสรีภาพประชาชนทุกรูปแบบ 

หากเห็นว่าเป็นภัยต่ออเมริกา ก็ต้องจัดการจับกุมกวาดล้างให้สิ้นซาก

แรงระเบิดที่วอลล์สตรีท ได้ทำให้รองประธานาธิบดี จอห์น แคลวิน คูลิดจ์ (John Calvin Coolidge) กล่าวประณามพวกฝ่ายซ้ายที่อพยพเข้าอเมริกาว่า “จะไม่มีที่ว่างให้พวกต่างด้าวในอเมริกา และสาบานว่าจะต่อต้านรัฐบาลนี้ พวกมันจะต้องถูกลงโทษ ด้วยการเนรเทศ”

ต่อมาคูลิดจ์จะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 30 ในปี 1923 หรือ 3 ปี จากเหตุบึ้มวอลล์สตรีทครั้งนี้ ส่วนการสืบสวนนั้น เจ้าหน้าที่ไล่ล่าทุกเบาะแส แต่เพราะพยานต่างสับสน แม้จะมีการสเก็ตช์ภาพคนที่เอารถบรรจุระเบิดไปจอด แต่ภาพวาก็ดูไม่ใกล้เคียงกับมนุษย์คนไหนเลย

ทางการถึงขั้นไปลากเอาชายคนหนึ่งที่เคยบอกกับเพื่อนว่า จะมีระเบิดที่วอลล์สตรีทในวันนั้น แต่เมื่อเอาตัวมาสอบก็พบว่าชายคนนี้อยู่แคนาดาในวันเกิดเหตุ และเขามีอาการทางจิตพูดสุ่มๆ มาเท่านั้นจึงส่งตัวยัดเข้าโรงพยาบาลประสาทแทน

เมื่อหาตัวใครไม่ได้ เหล่านักสืบก็ย้อนไปดูคดีเก่าๆ ที่อาจจะมีลักษณะการก่อเหตุเหมือนระเบิดวอลล์สตรีท เมื่อตรวจสอบไปเรื่อยๆ ก็พบว่า มีจดหมายฉบับหนึ่งไปหย่อนที่สำนักงานการคลัง ก่อนเกิดเหตุระเบิด ไม่กี่นาที

ข้อความเขียนว่า “จำไว้นะ พวกเราจะไม่อดทนอีกต่อไป ปล่อยนักโทษการเมือง ไม่งั้นพวกมึงจะต้องตายกันหมด” ลงชื่อกลุ่มนักสู้อนาธิปไตยแห่งอเมริกา โดยจดหมายฉบับนี้ คล้ายๆ กับจดหมายอื่นๆ ซึ่งส่งไปทั่วก่อนการวางระเบิดสถานที่รัฐการในอเมริกา แต่ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าที่วอลล์สตรีทนี้ 

เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าพลิกแฟ้มบุคคลต้องสงสัย ก็พบกลุ่มอนาธิปไตยอิตาลีที่น่าจะเข้าข่ายการก่อเหตุวินาศกรรมครั้งนี้สุด เพราะอเมริกาเพิ่งจะเนรเทศหัวหน้ากลุ่มออกนอกประเทศไปเมื่อ 1 ปีก่อน และเศษเหล็กที่ประกอบในชิ้นส่วนระเบิด ก็คล้ายกับกลุ่มอนาธิปไตยอิตาลีวางบึ้มในเมืองต่างๆ ของอเมริกาด้วย

แต่เมื่อไม่มีกลุ่มไหนแสดงความรับผิดชอบ พยานก็ไม่มีใครออกมาให้ปากคำ ตัวคนเอารถไปจอดก็หาไม่เจอจึงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่อาจตั้งข้อหาใครได้ แม้ช่วงเวลาสอบสวนนั้น พวกเขาจะหว่านผู้ต้องสงสัยไปทั่ว ทั้งกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา สหภาพแรงงาน หรือแม้กระทั่งนักปฏิวัติโซเวียตอย่าง วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย

แต่คดีก็ไม่ได้รับการไขปริศนา จนกระทั่งในปี 1944 หรือ 24 ปีหลังเกิดเหตุ สำนักงานสอบสวนกลาง เอฟบีไอ รื้อฟื้นคดีนี้มาอีกครั้ง และสรุปว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายอิตาลีมีสิทธิ์จะเป็นคนลงมือวางระเบิด โดยเน้นไปที่ผู้ต้องสงสัยอิตาเลียน 3 รายที่ตัดสินใจลงมือก่อเหตุ เพราะแค้นที่พรรคพวกที่ออกไปปล้นถูกยิงตายในวันที่ 11 กันยายน ปี 1920

โดยพบว่าผู้ต้องสงสัยที่วางแผนได้เดินทางไปอิตาลีหลังเกิดเหตุ และอยู่ที่ดินแดนรองเท้าบูทจนตาย กระนั้นก็ตาม ก็ไม่มีใครถูกแจ้งข้อหาแต่อย่างใด ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบันว่า ใครหรือกลุ่มใด อาจหาญก่อเหตุเหี้ยมโหด แก่ประชาชนบริสุทธิ์เหล่านี้ นี่คือโศกนาฏกรรมที่ตามมาหลังแรงระเบิดวันนั้น

แต่แรงกระเพื่อมของเหตุดังกล่าวยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะความเลวร้ายที่สุดก็คือ

มันถูกทำให้ลืม โดยเหล่านายทุนนั่นเอง

4.

พลันที่เกิดระเบิดขึ้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการทันทีแต่ก็ใช้เวลายุติการซื้อขายเพียง 1 วันเท่านั้น เช้าวันที่ 17 กันยายน ตลาดหุ้นกลับมาซื้อขายอย่างคึกคัก ถนนหนทางดูโล่งไร้ร่องรอยว่าเคยเกิดเหตุร้าย

ประชาชนสัญจรไปมา เหล่านายทุนและเศรษฐีผู้สนใจในเงินและความร่ำรวยมากกว่าชีวิตคน สั่งให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พนักงานที่ได้รับบาดเจ็บหลายรายถูกบังคับให้มาทำงานขับเคลื่อนระบอบทุนนิยมอย่างเหี้ยมโหด บางคนยังใส่ผ้าพันแผล บางรายยังไม่หายดีด้วยซ้ำ ตัวแทนนายทุนแห่งวอลล์สตรีทประกาศกร้าวต่อหน้านักหนังสือพิมพ์ว่า “เราต้องโชว์ให้โลกเห็นว่า ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปได้”

เหตุระเบิดครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน ปี 1920 หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างก็ถูกทำให้ลืม และบังคับให้หายเข้ากลีบเมฆ ขนาดวันระลึกถึงเหตุการณ์นี้ในหลายปีต่อมาก็ไม่มีใครมาจัดงานแต่อย่างใด 

ในที่สุดวันที่ 16 กันยายนก็ถูกทำให้ลืมอย่างเหลือเชื่อ เรื่องราวของคนตายไม่ได้รับการเล่าขาน คนเจ็บก็รักษาตัวให้หายแล้วประคองชีวิตกันต่อไป

นี่คือโศกนาฏกรรมซึ่งกระเพื่อมหลังเหตุร้าย โดยถูกบงการจากนายทุนที่อยากให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป แล้วลืมความโหดร้ายไว้ข้างหลัง ตราบที่ความเศร้าโศกเสียใจนั้นไม่ได้เกิดกับคนใกล้ชิดผู้ร่ำรวยทั้งหลาย เป็นการทำให้ทุกอย่างปกติภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง จึงอาจจะสรุปได้ดังที่นักประวัติศาสตร์ที่พยายามรื้อฟื้นเหตุการณ์ บอกในประโยคที่เลือดเย็นมากๆว่า

“วอลล์สตรีทกังวลเพียงการซื้อขายในวันถัดมา มากกว่าข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน”

“เลยไม่มีใครอยากจดจำเหตุระเบิดนี้กันเลย”

อ้างอิง

https://www.nytimes.com/2003/09/17/nyregion/after-1920-blast-opposite-never-forget-no-memorials-wall-st-for-attack-that.html

https://www.history.com/news/the-mysterious-wall-street-bombing-95-years-ago

https://nypost.com/2020/09/16/the-wall-street-bombing-of-1920-100-years-later/

https://www.slate.com/blogs/atlas_obscura/2014/09/16/the_1920_wall_st_bombing_a_terrorist_attack_on_new_york.html

https://crimereads.com/blood-fire-the-bombing-of-wall-street-100-years-later/

https://www.smithsonianmag.com/history/anger-and-anarchy-on-wall-street-96057606/

https://www.washingtonpost.com/news/made-by-history/wp/2018/01/29/what-the-1920-wall-street-bombing-tells-us-about-donald-trumps-immigration-scare-tactics/

https://www.nytimes.com/2009/02/22/books/review/Baker-t.html

https://www.cbsnews.com/news/wall-street-bombing-new-york-terror-attack/ 

Tags: , , , ,