“ผมไม่อาจพูดได้ว่า ข่าวที่ทำชิ้นนี้ มันดีเยี่ยม เพราะสุดท้ายเราก็บุกอิรัก สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมหาศาล”
1
เช้าอันสดใสของวันที่ 11 กันยายน 2001 จบลงด้วยหายนะ เปิดศักราชภัยก่อการร้าย เมื่อชายฉกรรจ์จากองค์กรอัลกออิดะฮ์ จี้เครื่องบินพาณิชย์แล้วขับพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ (World Trade Center) ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จนพังทลายลงมา
ในช่วงเวลาใกล้กัน คนร้ายกลุ่มเดียวกันจี้เครื่องบินพุ่งชนอาคารเพนตากอน (The Pentagon) ที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมด้วย
อเมริกาถูกโจมตีบนแผ่นดินแม่จากศัตรูภายนอก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีคนที่ 43 เดือดดาล เช่นเดียวกับอเมริกันชนทั้งประเทศ
พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็รู้ว่า ใครคือผู้วางแผนก่อเหตุ สัตว์สงครามกู่ก้อง อเมริกาส่งกองทัพและทุ่มเททรัพยากรมหาศาล บุกอัฟกานิสถาน เพื่อไล่ล่า อุซามะฮ์ บิน ลาดิน (Osama bin Laden) หัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะฮ์ ซึ่งรัฐบาลตาลีบันให้ความช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และไม่ยอมส่งชายคนนี้ให้กับอเมริกา
ด้วยพลานุภาพอาวุธและทหารที่เหนือกว่า การบุกเริ่มขึ้นหลัง 9/11 เพียงเดือนเดียว กินเวลาไม่กี่สัปดาห์ รัฐบาลตาลีบันถูกโค่นล้ม แต่บิน ลาดินหนีรอดไปได้
ช่วงเวลานั้นคณะรัฐมนตรี ข้ารัฐการระดับสูง และตัวประธานาธิบดีบุช ประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย บีบให้โลกทั้งใบเลือกข้าง
“จะอยู่ข้างเราหรือเป็นศัตรูกัน”
ทหารและสายลับจำนวนมากถูกส่งไปยังอัฟกานิสถาน เพื่อพลิกแผ่นดินล่าบิน ลาดิน ในช่วงแห่งความอลหม่าน ทีมงานของบุช ซึ่งเคยรับใช้พ่อของเขา สมัยเป็นประธานาธิบดีในช่วงปี 1989-1993 ต่างคิดแผนการบางอย่างที่อยู่ในใจ ติดค้างกันมานานออกมา
นับตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกในปี 1990 ซึ่งรัฐบาลอิรักของจอมเผด็จการ ซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein) ส่งทหารยึดประเทศคูเวต นำไปสู่การรวมกำลังพันธมิตรหลายชาติขับไล่อิรักออกจากคูเวต กินเวลาไม่กี่เดือนก็ประสบความสำเร็จ เป็นชัยชนะที่งดงามของอเมริกา นับตั้งแต่สิ้นท่าในสงครามเวียดนาม
อดีตทีมงานของบุชผู้พ่อต่างหวังว่า ทหารอเมริกันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขาหวังสูงถึงขั้นเข้าไปโค่นรัฐบาลซัดดัมในอิรักเลย
แน่นอนว่าประธานาธิบดีบุชผู้พ่อไม่เห็นด้วย และขอให้หยุดปฏิบัติการพายุทะเลทรายไว้เพียงแค่นี้
ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดจากทั้งทหารและพลเรือน คำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เฉียบขาด ทีมงานทั้งหมดเคารพ เชื่อฟัง แต่ไม่คล้อยตาม พวกเขารอเวลา ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ซัดดัมจะต้องถูกกำจัด
ปี 2002 เพียง 1 ปีหลัง 9/11 บิน ลาดินยังลอยนวล ทีมงานเดิมของบุชผู้พ่อ มารับใช้บุชผู้ลูก เช่นเดียวกับข้ารัฐการระดับสูงทั้งในกระทรวงต่างประเทศ ในหน่วยข่าวกรอง ทั้ง CIA และสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักการเมืองจำนวนหนึ่งเห็นพ้องต้องกัน
เมื่อการรุกรานอัฟกานิสถานยังยืดเยื้อ
“ทำไมเราไม่หันมาสนใจอิรักกันล่ะ”
กินเวลาไม่นาน ข่าวก็เริ่มปล่อยผ่านสื่อระดับชาติ The New York Times และ The Washington Post รวมถึงช่องโทรทัศน์ CNN ข้อมูลเริ่มเผยแพร่ออกมาว่า “อิรัก มีอาวุธชีวภาพ”
สิ่งนี้สร้างความตื่นตกใจให้กับสังคมอเมริกัน พวกเรายังไม่ปลอดภัยจากการก่อการร้าย ซัดดัม คนที่โดนทหารสหรัฐฯ ขับไล่ออกจากคูเวตยังมีพิษสง
“เรามีข้อมูล ‘คาด’ ว่า เขาสนิทกับบิน ลาดิน”
“ทางการมีหลักฐานว่า ซัดดัม ‘อาจ’ เกี่ยวข้องกับอัลกออิดะฮ์”
“เจ้าหน้าที่ ‘เชื่อ’ ว่า อิรักมีอาวุธชีวภาพที่สามารถทำลายล้างอเมริกาได้”
สำนักข่าว The New York Times นำเสนอบทสัมภาษณ์คนอิรัก ที่ลี้ภัยจากซัดดัมมาอยู่ในอเมริกา เผยว่า เขาเคยเห็นโรงงานผลิตอาวุธชีวภาพในอิรัก 20 แห่ง โดยมี 3 โรงงานอยู่ใต้ที่พักของประธานาธิบดีด้วย
โจนาทาน แลนเดย์ (Jonathan Landay) และวอร์เรน สโตรเบล (Warren Strobel) 2 นักข่าวประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสื่อ Knight Ridder อ่านข่าวชิ้นนี้จากสื่อระดับชาติ แล้วก็ขมวดคิ้วสงสัย
“ใครมันจะบ้าเอาโรงงานผลิตอาวุธชีวภาพไว้ใต้บ้านตัวเองวะ”
2
Knight Ridder เป็นสำนักข่าวที่นำเสนอเนื้อหาป้อนหนังสือพิมพ์กว่า 30 หัวทั่วทั้งสหรัฐฯ เพราะสื่อกระดาษบางฉบับไม่มีทรัพยากรพอจะส่งคนไปประจำที่เมืองหลวง หรือรายงานข่าวประธานาธิบดี รัฐสภา ทำเนียบขาวได้ จึงต้องใช้บริการของ Knight Ridder ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าของสื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นทั่วประเทศ
โดยแลนเดย์และสโตรเบลเป็นนักข่าวโต๊ะการเมือง เกาะติดรายงานข่าวในทำเนียบขาวและรัฐสภา พลันที่อ่านรายงานของสื่อระดับชาติหลายแห่งย้ำว่า อิรักมีอาวุธชีวภาพ พวกเขาก็ยิ่งสงสัย
เพราะรายงานบางชิ้นดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ มีการอ้างแหล่งข่าวระดับสูง ทั้งในทีมงานประธานาธิบดี และข้ารัฐการจากหน่วยข่าวกรอง กระทรวงต่างประเทศ กระนั้นแม้จะน่าสงสัย แต่เมื่อเขียนโดยสื่อใหญ่ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ มันเลยยิ่งทำให้สาธารณชนเริ่มคล้อยตามวัตถุประสงค์ของทำเนียบขาว
“พวกเขาต้องการบุกอิรัก”
แต่ซัดดัม จอมเผด็จการ มีอาวุธชีวภาพจริงเหรอ นี่คือสิ่งที่แลนเดย์และสโตรเบลต้องไปตรวจสอบ แต่เพราะตัวเองไม่ใช่สื่อระดับชาติ เป็นสำนักข่าวที่ป้อนข่าวการเมืองให้กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จึงไม่ค่อยมีใครอยากคุยด้วย ส่วนที่ยอมให้สัมภาษณ์ก็ยืนยันว่า อิรักมีอาวุธอันตรายจริง
ทั้งสองนำข้อมูลตรงนี้ปรึกษากับบรรณาธิการ หนึ่งในนั้นมีนักข่าวและช่างภาพที่เคยผ่านสงครามเวียดนามมาก่อน เขาให้คำแนะนำว่า “ตอนเวียดนาม เราไปคุยกับทหารผู้ปฏิบัติงานจริงในสนามรบ และได้เห็นว่านโยบายหลายอย่างของพวกนายพลและนักการเมือง มันไม่ได้เรื่อง”
แลนเดย์และสโตรเบลเห็นด้วยกับคำแนะนำนี้ พวกเขาเริ่มไปคุยกับแหล่งข่าวระดับกลาง และระดับล่าง เป็นผู้ปฏิบัติงานในหน่วยข่าวกรองทั้งหลาย
และก็พบความจริงอันน่าตกตะลึงว่า
“อิรักไม่มีอาวุธชีวภาพ ตามที่ถูกกล่าวหา”
3
การนำเสนอข่าวแบบนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลของบุช มิเพียงเท่านั้น อเมริกันผู้รักชาติจำนวนหนึ่งต่างโจมตี Knight Ridder ว่า ขายชาติ ทำให้รัฐขายหน้า มีทั้งคำด่าและขู่ฆ่าส่งมาที่สำนักข่าวแห่งนี้
แต่พวกเขาไม่หยุดยั้ง แม้จะเสี่ยงตายแค่ไหนก็ตาม
โดยแหล่งข่าวระดับกลางบอกว่า พวกเขาเคยเข้าไปตรวจสอบโรงงานตามที่รัฐบาลและสื่อระดับชาติเขียนถึง ยืนยันได้ว่า อิรักเลิกทำการผลิตอาวุธชีวภาพนานแล้ว แถมศักยภาพตอนนี้ก็ไม่สามารถจะสร้างอาวุธมหาประลัยอะไรได้เลย การบุกไปโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการซัดดัม โดยข้ออ้างเรื่องนี้จึงไม่มีความชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
แลนเดย์และสโตรเบลยังไปสัมภาษณ์คนอิรักที่ลี้ภัยจากซัดดัม แล้วอ้างว่าเห็นโรงงานผลิตอาวุธ พอเอาเข้าจริงบุคคลตรงหน้าโกหกได้เนียนมาก แต่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นมายืนยันข้ออ้างนี้ นอกจากลมปาก ซึ่งใครจะโม้อะไรก็ได้
ยิ่งทั้งสองเขียนข่าวออกมาก็ยิ่งเน้นย้ำว่า ทำไมรัฐบาลอเมริกาจึงไม่มีความชอบธรรมจะส่งทหารบุกอิรัก ด้วยข้ออ้างมีอาวุธอันตรายนี้
กระนั้นผลงานชิ้นนี้กลับไม่มีสื่อระดับชาติไหนคล้อยตาม มิหนำซ้ำสำนักข่าวท้องถิ่น หนังสือพิมพ์เล็กๆ ทั่วทั้งอเมริกาต่างปฏิเสธจะลงข่าวของ Knight Ridder แต่ไปเอาข่าวของสำนักข่าวระดับโลกมาลงแทน
“The New York Times ยังเล่นข่าวว่า อิรักมีอาวุธชีวภาพ แล้วพวกเราเป็นใครถึงจะไม่เอาด้วยล่ะ”
Knight Ridder จึงทำได้แค่เสนอข่าวตัวเองในหน้าเว็บไซต์เท่านั้น
ใครที่ได้เข้ามาอ่านต่างยอมรับว่า งานเขียนที่ยืนยันว่า อิรักไร้อาวุธชีวภาพ มีคุณภาพยอดเยี่ยมมาก น่าเสียดายหัวใจเศร้าที่ไม่มีใครสนใจ แม้กระทั่งรางวัลพูลิเซอร์ก็ไม่เหลียวมอง หรือมอบรางวัลให้
ที่จริงแล้ว Knight Ridder เหมือนหมาถูกตัดหางปล่อยวัด ไม่มีแม้แต่เสี้ยวเดียวของคนในสังคมที่จะยกย่องพวกเขา ไม่มีใครชื่นชม มีแต่คนด่าว่าชังชาติ ความพยายามของพวกเขาจบลงที่ความล้มเหลว ไม่อาจทำให้สังคมเชื่อได้ว่า ความจริงคืออะไร
“ช่วงเวลานั้น ไม่มีสื่อหรือนักข่าวคนไหนอยู่เคียงข้างเราเลย
“เหมือนเราถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเลยจริงๆ”
ผ่านไปหลายปี แลนเดย์และสโตรเบลจึงเข้าใจสัจธรรมบางอย่างของนักข่าวจากสื่อใหญ่ๆ ที่เกาะติดนักการเมือง ข้ารัฐการระดับสูงกันมานาน พวกนี้อยากเข้าไปเป็น-อยากเข้าไปอยู่ในวงจรอำนาจ อยากเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการเมืองอเมริกัน จนยอมที่จะเลิกตั้งคำถามกับข้อมูลที่ได้ ไม่คิดจะสงสัยหาหลักฐานหรือความถูกต้องใดๆ ทั้งสิ้น ขอแค่ได้ข้อมูลจากคนระดับใหญ่โตก็เพียงพอแล้ว
“พวกเขาประเมินแหล่งข่าวจากตำแหน่ง แทนที่จะหาข้อมูลจากความหลากหลาย คุณต้องจำไว้นะว่า ยิ่งแหล่งข่าวมีตำแหน่งสูงมาก พวกเขาก็ยิ่งให้ความเห็นตามสิ่งที่ตัวเองอยากได้ งานของพวกเขาคือขายมันแก่สื่อ ไม่ใช่ค้นคว้าหาความจริง
“และพวกนักข่าวที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจเหล่านี้ ก็แค่อยากเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา แทนที่จะยืนหยัดย้ำเตือนว่า แท้จริงแล้วเราเป็นแค่สื่อมวลชน”
ในช่วงเวลานั้น คนที่อ่านข่าวของ Knight Ridder คือกลุ่มผู้ต่อต้านสงคราม ที่ไม่เห็นด้วยกับการบุกอิรัก พวกเขาใช้ข้อมูลของสื่อแห่งนี้และพบว่า มันมีความน่าเชื่อถือ มีหลักฐานและแหล่งข่าวที่พิสูจน์ได้ ขณะที่ข้อมูลของ The New York Times ที่ย้ำว่า อิรักมีอาวุธชีวภาพ ถูกวิจารณ์ว่าข้อมูลจากแหล่งข่าวดูไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย
กระนั้นความพยายามของ 2 นักข่าวผู้ตีแผ่กลับไม่เป็นผล
ในปี 2003 รัฐบาลของบุชที่ปลุกระดมสังคมอเมริกันมาพอสมควร ก็ลงนามคำสั่งส่งทหารบุกอิรัก ท่ามกลางความเห็นด้วยของนักการเมือง ทั้ง สส.และวุฒิสมาชิก โดยไม่มีใครหยิบข้อมูลจาก Knight Ridder ไปถกเถียงในสภาแม้แต่คนเดียว
4
การรุกรานอิรักของอเมริกากินเวลาไม่นาน รัฐบาลซัดดัมล่มสลาย จอมเผด็จการถูกจับ ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ กระนั้นเหตุผลที่สร้างความชอบธรรมต่อทั้งโลกว่า อิรักมีอาวุธชีวภาพนั้น กลับกลายเป็นรอยด่างพร้อย ทหาร สายลับ เจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่นักการเมือง ไม่มีใครค้นพบอาวุธมหาประลัยนี้ในอิรัก แม้แต่ชิ้นเดียว
สงครามที่กลืนชีวิตคนเป็นจำนวนมากกลายเป็นความสูญเปล่า และเพราะต้องโยกกำลังทหารไปรบในอิรัก ทำให้การตามล่าบิน ลาดิน ถูกลดความสำคัญลง กว่าจะสังหารได้ก็ใช้เวลานานเกือบ 20 ปี ที่สำคัญสุดท้ายรัฐบาลที่อเมริกาตั้งขึ้นมาในอัฟกานิสถานก็ล่มสลาย กลุ่มตาลีบันกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ส่วนอิรักหลังการโค่นล้มซัดดัมก็เจอแต่ความวุ่นวายอลหม่าน มีการก่อการร้าย ผลาญชีวิตทั้งคนในประเทศและทหารอเมริกา เกิดกับคำถามตัวโตๆ ว่า เรารบไปเพื่ออะไร
สงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่กินเวลานานกว่า 20 ปี จบลงที่ความล้มเหลว
พลันที่ความจริงเรื่องอาวุธชีวภาพไม่มีจริง สื่อระดับชาติ The New York Times ต่างออกแถลงการณ์ในนามกองบรรณาธิการ ยอมรับว่า ข่าวที่นำเสนอเกี่ยวกับอิรักมีความหละหลวมบกพร่องในข้อมูล แถมยังเน้นแหล่งข่าวที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลซัดดัม เป็นพันธมิตรกับประธานาธิบดีบุช มากกว่าแหล่งข่าวที่ทำงานอย่างมืออาชีพ ไม่มีอคติทางการเมือง
ทั้งหมดนี้นำไปสู่การบิดเบือนข้อมูล แล้วสื่อก็นำเสนอโดยไม่ตรวจสอบ จนนำไปสู่การก่อสงครามที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์โลก เพราะมีคนกว่าครึ่งล้านเสียชีวิต ให้กับการรุกรานที่ไม่มีความชอบธรรมแม้แต่น้อย
พลันที่บรรณาธิการของ Knight Ridder อ่านคำขอโทษของสื่อยักษ์ใหญ่ เขาก็พูดออกมาว่า
“The New York Times ขอโทษแก่คนอ่าน แต่ไม่มีสื่อสักฉบับเดียว ขอโทษพวกเรา ผมเข้าใจได้นะ..
“แต่ในใจ ก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง”
5
ผ่านไปเกือบ 2-3 ปี หลังความจริงในอิรักปรากฏ แลนเดย์และสโตรเบลพร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่ Knight Ridder จึงได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมวิชาชีพ มีเสียงชื่นชมในความกล้าหาญของพวกเขาที่ยืนหยัดนำเสนอข้อมูลด้วยความถูกต้องครบถ้วน แม้ว่ามันอาจจะช้าและสายเกินไปเสียแล้ว
“ตอนทำข่าวชิ้นนี้ ผมคิดว่าจะมีใครเล่นตามเราบ้าง แต่ปรากฏไม่มีใครทำเลย”
แลนเดย์บอกว่า มีบางคืนเหมือนกันที่เขาตื่นกลางดึก แล้วนั่งครุ่นคิดว่า เรารายงานข่าวถูกต้องแล้วเหรอ ทำไมตัวเองถึงเล่นประเด็นอิรักไม่มีอาวุธชีวภาพอยู่ที่เดียว
ถึงจะมากด้วยความสงสัย แต่พอตรวจสอบหลักฐานทุกอย่าง ทั้งสองก็ยืนยันสิ่งที่ได้มาคือ อิรักไม่เคยมีอาวุธชีวภาพ ตามที่ใครโกหกกัน และนี่คืองานที่ภาคภูมิใจของทั้งคู่
แม้สิ่งที่ได้อาจไม่ใช่รางวัลข่าว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับการยกย่องจากสังคมในที่สุด และยังคงยึดมั่นในอาชีพนักข่าวจนถึงปัจจุบัน
โดยทั้งคู่ได้เน้นย้ำกับสังคมว่า บทเรียนอิรักนี้ ถือเป็นบาดแผลที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก เพราะในอนาคตมันอาจมีการรวมหัวกันโกหกจากผู้มีอำนาจได้ และหากเกิดขึ้นอีกครา หน้าที่ของสื่อมวลชนจึงยิ่งมีความสำคัญ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายของวงการนี้
และหลักการง่ายๆ ที่คนข่าวต้องยึดมั่นเป็นหลักไว้เสมอ นั่นก็คือคำพูดที่ที่บรรณาธิการ Knight Ridder บอกกับแลนเดย์และสโตรเบลซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า การเป็นนักข่าวที่ดีนั้น มันเริ่มต้นง่ายๆ
“เพียงแค่ เราทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ถามคำถามที่ควรถาม
“และอย่าเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลบอกคุณว่า มันคือความจริงโดยเด็ดขาด”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.nytimes.com/2004/05/26/world/from-the-editors-the-times-and-iraq.html
https://www.wnycstudios.org/podcasts/otm/segments/who-was-reporting-truth-why-we-went-war-iraq
https://www.huffpost.com/entry/the-reporting-team-that-g_n_91981
Tags: อิรัก, Haunted History, สหรัฐอเมริกา, ก่อการร้าย