1

“13 ปีที่ผ่านมาช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ผมแปลกใจเหลือเกินที่ตัวเองไม่ติดคุก”

เดือนกรกฎาคม 2006 ชายหนุ่มวัย 36 ปีเดินขึ้นโรงพักแห่งหนึ่งในแคนาดา แล้วบอกข้อมูลบางอย่างกับตำรวจ สร้างความตื่นตระหนกต่อทางการอย่างมาก เพราะเขาไขปริศนาคดีเยือกแข็ง (Cold Case) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีก่อน และยังปิดไม่ลงจนปัจจุบัน 

“ผมรู้ว่าศพของพวกเขาอยู่ที่ไหน”

เท่านั้นแหละ ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2006 ตำรวจจึงนำกำลังไปที่ย่านชานเมืองพร้อมผู้แจ้งเบาะแสและสุนัขดมกลิ่น เดินเท้าปูพรมตรวจสอบจุดดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากถนนและเต็มไปด้วยโคลนตม กินเวลาถึง 72 ชั่วโมงจึงพบรองเท้าผู้หญิง ก่อนเห็นกระดูกขากับเท้าโผล่ออกมาจากหลุม เมื่อขุดลึกเข้าไปอีกก็พบ 2 ศพนอนขดตัวในนั้น พอตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่า กะโหลกของทั้งคู่ มีกระสุนขนาด .22 ฝังไว้ 

“เหมือนพวกเขาถูกจ่อยิงเลย”

เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในแคนาดา เพราะการค้นพบครั้งนี้นำไปสู่การรื้อฟื้นคดีที่สร้างความสงสัยในใจของสังคมแห่งนี้อย่างมาก

ผ่านไป 13 ปี คนทั้งประเทศถึงเข้าใจ

ในที่สุดพวกเขาก็ได้คำตอบ หลังจากเฝ้าถามมาอย่างยาวนาน

ทุกคนรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับ คิมเบอร์ลีย์ ล็อกเยอร์ (Kimberley Lockyer) และเดล เวิร์ธแมน (Dale Worthman)

ทั้งสองไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกฆาตกรรมนั่นเอง

2

13 ปีก่อน แม่ของเดลรู้สึกเป็นห่วงลูกชายอย่างมาก เพราะเขาไม่โผล่หน้าไปทำงาน ขณะที่หัวหน้าของคิมเบอร์ลีย์ก็แปลกใจที่บริกรสาว ณ ร้านอาหารในสนามบิน ไม่มารับเช็คเงินเดือน

มันเป็นเรื่องผิดปกติยิ่งนัก เพราะลูกชายและหญิงสาวไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนั้น 

ดังนั้นในวันที่ 2 กันยายน 1993 เลยมีการไปแจ้งความต่อตำรวจ ทางเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบทันที เพราะเมืองแห่งนี้มีอัตราอาชญากรรมที่ต่ำมาก นักสืบจึงระดมกำลังค้นหาอย่างเต็มที่

เดลอายุ 30 ปี ส่วนคิมเบอร์ลีย์ อายุ 29 ปี ทั้งคู่ไม่ใช่หนุ่มสาววัยรุ่นแล้ว การไม่โผล่ไปทำงานและไม่ไปรับเงินเดือนดูเป็นเรื่องแปลก

นักสืบสอบปากคำแม่ของเดลและหัวหน้างานของคิมเบอร์ลีย์ ก่อนเดินทางไปห้องที่ทั้งคู่พักด้วยกัน ที่นั่นตำรวจพบเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะรถของคู่รักรายนี้ยังจอดสงบนิ่งปกติ เมื่อเปิดเข้าไปในห้องพักก็พบกระเป๋าสตางค์และบัตรประชาชนของทั้งสองวางอยู่

ในห้องไม่มีร่องรอยรื้อค้น เจ้าหน้าที่ยังพบเงินสดราว 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่บนฟูก ที่ตู้เย็นมีอาหารเก็บไว้เต็มไปหมด

หากดูเผินๆ เหมือนว่าเจ้าของออกไปข้างนอกแค่เพียงแป๊บเดียว เดี๋ยวคงกลับมา มันไม่มีร่องรอยการลักพาตัว จี้ หรือรื้อค้น ทุกอย่างเป็นปกติ ไม่เข้าข่ายสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม หรือมีลักษณะที่จะเกิดเหตุอาชญากรรมใดๆ เลย

ตำรวจเต็มไปด้วยคำถาม เดลกับคิมเบอร์ลีย์หายไปไหน

เมื่อสอบถามคนในหอพัก มีพยานแจ้งว่า เห็นทั้งคู่ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม หรือ 6 วันก่อนแม่ของเดลจะแจ้งความ

ทางการเข้าตรวจสอบกับแท็กซี่และสายการบิน เผื่อทั้งสองไปเที่ยวที่ไหน แต่ปรากฏว่าไม่มีหลักฐาน หรือพวกเขาหลบหนีจากภัยบางอย่างหรือไม่ แต่พอคุยกับคนใกล้ตัวมิตรใกล้ชิดก็ไม่พบเบาะแสดังกล่าว ยิ่งเจาะลึก ยิ่งสืบสวน ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ดูเหมือนเดลกับคิมเบอร์ลีย์หายตัวไปเฉยๆ จากโลกใบนี้

ทางการไม่ยอมแพ้ พวกเขาตรวจสอบทุกเรื่องราวจนพบว่า ชายหนุ่มมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งมอเตอร์ไซค์ แต่พอค้นอย่างละเอียดก็ไม่พบเหตุผลสอดคล้องกับการหายตัวไป

แม่ของเดลยืนยันว่า ลูกไม่เคยเล่าความทุกข์ หรือปัญหาอะไรให้ฟังเลย ส่วนที่จะแย้มว่ามีศัตรูหรือคู่อริไหนก็ไม่เคยบอก

จากวันเป็นอาทิตย์ กลายเป็นเดือน ล่วงผ่านปีแล้วปีเล่า ในที่สุดคดีนี้ก็ถูกแช่แข็ง เพราะไร้ซึ่งความคืบหน้า แม้นักสืบจะพยายามไขปริศนาแค่ไหน ตามล่าหาความจริงเพียงใด ก็ไม่อาจหาคำตอบว่า ชายหญิงคู่นี้หายตัวไปไหน หรือหากถูกฆาตกรรมแล้วเกิดจากสาเหตุใดและศพอยู่ไหน

ใช่ว่านักสืบจะปล่อยมือจากคดีนี้ พวกเขาเคยระดมสุนัขตำรวจ ไปค้นหาตามท่าเรือ ตามชายหาด หลังมีคนให้เบาะแสว่าพบทั้งสอง แต่ค้นแบบแทบพลิกแผ่นดินหา ก็ไม่เจออะไร

เมื่อมีคดีอื่นเข้ามา คดีเก่าที่ปิดไม่ลงก็ค่อยๆ จางหายไป แม้สังคมจะสงสัย แม้สื่อจะประโคมข่าวแค่ไหนก็ตาม แม้คนจะอยากรู้ แต่ก็ไร้ซึ่งความคืบหน้า

คู่รักเดลและคิมเบอร์ลีย์หายไปไหน

ไม่มีใครทราบและไม่มีใครรู้

จนกระทั่งในปี 2006 ชายชื่อว่า โจอี้ โอลิเวอร์ (Joey Oliver) เดินขึ้นโรงพักแล้วบอกว่า ศพของทั้งสองถูกฝังอยู่ ณ ที่ใด

นี่แหละ ทั่วทั้งแคนาดาจึงตื่นตัวอีกครั้ง นำไปสู่ความอยากรู้อีกคราว่า เกิดอะไรขึ้นกับเดลและคิมเบอร์ลีย์กันแน่

3

โจอี้เป็นเพื่อนบ้านกับเดล แม้จะอายุอ่อนกว่าอีกฝ่ายถึง 7 ปี แต่ก็นับว่าโตมาไล่เลี่ยกัน เมื่อพบศพของคู่รักแล้ว นักสืบก็เชิญตัวเขามาสอบปากคำ เพื่อถามว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่า ร่างของทั้งสองถูกนำมาฝังที่นี่

หนุ่มวัยกลางคน ผู้ที่อีก 4 ปีก็จะอายุถึงหลักสี่ เล่าว่า ในวันที่คู่รักหายตัวไป เขาไปคุยกับชายคนหนึ่งที่เกิดและโตในละแวกเดียวกับเดลเช่นกัน 

ชายคนนี้สั่งให้พยานปากเอกไปหา 2 ผู้ตายที่ห้องพัก แล้วพาตัวออกมา ไปเจอกันที่จุดพบศพดังกล่าว

ชายหนุ่มบอกว่า ตามจริงแล้ว เขาได้รับคำสั่งให้ตามเดลออกไปพบเพียงคนเดียว แต่คิมเบอร์ลีย์ดันออกมาด้วย

นักสืบขมวดคิ้วสงสัย “คุณพาเธอไปทำไม”

“จะให้ผมพูดอะไรล่ะ บอกให้เธออยู่ห้องรอน่ะเหรอ ก็อีกฝ่ายเป็นแฟนเขา พอชายหนุ่มบอกให้มาด้วยกัน ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรน่ะสิ”

โจอี้พาคู่รักไปพบกับอีกฝ่ายในจุดที่ได้นัดหมาย หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เขาเห็นว่า บุรุษคนนี้ลั่นไกสังหารเดลกับคิมเบอร์ลีย์แล้ว

“เหตุการณ์นี้ยังฝังแน่นในหัวผม”

พอสังหารเสร็จ เจ้าของปืนก็หันปากกระบอกมาทางโจอี้ ซึ่งพูดสวนออกไปว่า “เอ็งทำห่าอะไรน่ะ”

“รีบหนีออกจากที่นี่ดีกว่า ไปรอข้าตรงโน้น”

พยานปากเอกบอกว่า ชายคนนี้เป็นคนสังหาร เป็นผู้เอาศพไปอำพรางฝังไว้สักที่ในบริเวณดังกล่าว จากนั้นทั้งสองก็ปิดปากเงียบ เก็บเป็นความลับระหว่างกันมานานกว่า 13 ปี

“คุณลำบากใจกับเรื่องนี้ไหม”

“ครับ” โจอี้ตอบคำถามตำรวจ “คิดดูสิ ว่าพวกเขา 2 คนถูกพรากชีวิตไปตลอดกาล”

เขายังบอกว่า ตลอดเวลาหลังการฆาตกรรม ก็ทำใจลำบากมาก และแปลกใจที่ไม่โดนจับยัดเข้าคุก จนสุดท้ายเจ้าตัวตัดสินใจแจ้งเบาะแสแก่ตำรวจ เพราะไม่อยากเงียบงันอีกต่อไปแล้ว

ชายหนุ่มบอกว่าฆาตกรที่ก่อเหตุ มีชื่อว่า แชนนอน เมอร์ริน (Shannon Murrin)

หลังตำรวจฟังจบ ตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมด พวกเขาก็แจ้งข่าวแก่โจอี้ว่า “ฟังนะ วันนี้ เราจะตั้งข้อหาฆาตกรรมเดลกับคิมเบอร์ลีย์โดยเจตนากับคุณ”

ทีแรกโจอี้ฟังด้วยท่าทีสงบใจ แต่พอปรากฏตัวที่ชั้นศาล เขาก็พึ่งเข้าใจสถานการณ์ออก ตอนนี้เขามีสิทธิโดนลงโทษติดคุกตลอดชีวิตได้เลย

ทนายของเขาเผยว่า “เจ้าตัวงงมากที่โดนตั้งข้อหา เขามีคำถามมากมาย และมีสีหน้าฉงนใจ ตั้งแต่ขึ้นศาลจนถึงตอนที่ถูกพาตัวไปเข้าคุก”

4

เมื่อพาตัวโจอี้ไปอยู่ในเรือนจำแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไปลากคอแชนนอนมาสอบปากคำ โดยปีที่คู่รักหายตัวไป ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมมีอายุ 32 ปี ใกล้เคียงกับเดลอย่างมาก

แชนนอนมีประวัติอาชญากรรมอันตราย เขาต้องโทษคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 8 ขวบ และตกเป็นผู้ต้องสงสัยในกรณีฆ่าเด็ก 6 ขวบอีกรายด้วย แต่หลังติดคุกได้ 5 ปีก็พ้นผิดออกมา พลันที่เจ้าตัวถูกพาไปสอบปากคำ เขาก็โวยวายมาว่า ตนเองเป็นแพะทันที

“ถ้าดูจากประวัติคงเข้าใจว่าทำไมถึงเลือกใส่ความผม”

เมื่อตรวจสอบข้อมูล ตำรวจพบบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างโจอี้กับแชนนอน หลายประโยค มีคำพูดที่โจอี้ด่าอีกฝ่ายว่า “แชนนอน แกฆ่าทั้งคู่ ไอ้คนเลือดเย็น ไอ้ลูกนอกสมรส แกนั่นแหละเป็นคนก่อเหตุ ไม่ใช่ข้า”

ทางการยังพบบทสนทนาถึง 4 ข้อความที่โจอี้ฝากไว้ในโทรศัพท์ของแชนนอน โดยมีการพูดถึงความตายของคู่รักนี้ในข้อความหนึ่ง ซึ่งโจอี้พูดว่า “ข้ารู้นะว่าแกเป็นคนเที่ยวพูดไปทั่วว่า จะฆ่าคนที่แฉเรื่องนี้ขึ้น แถมยังขู่ว่าจะทำให้หายไปตลอดกาลด้วย”

หลักฐานตรงนี้ดูเหมือนว่า แชนนอนน่าจะรู้อะไรกับเหตุการณ์นี้ จนมีสิทธิ์เป็นฆาตกรเลยด้วยซ้ำ กระนั้นก็ตาม แม้แชนนอนดูเป็นผู้ต้องสงสัยแค่ไหน แต่ตำรวจก็ไม่มีหลักฐานชัดว่า อีกฝ่ายจะเป็นผู้ลั่นไก แถมเขายังให้การปฏิเสธ ยืนกรานว่า ไม่เกี่ยวข้องในคดีนี้และไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น

แม้ทางนักสืบจะเชื่อว่า แชนนอนบอกให้โจอี้ไปตามเดลจริง เพราะต้องการเคลียร์เรื่องหนี้สินยาเสพติด แต่คิมเบอร์ลีย์ติดรถมาด้วย เมื่อการสนทนาเลยเถิด แชนนอนจึงลั่นไกดับทั้งสองและอำพรางศพเสีย

อย่างไรก็ดี ความเชื่อไม่อาจถูกใช้ตั้งข้อหาใครพร่ำเพรื่อได้ เมื่อทางการไม่มีหลักฐานมายืนยันทฤษฎีนี้ จึงทำได้เพียงตั้งข้อหาโจอี้ให้หนักขึ้นกว่าเดิม เป็นฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และไม่ได้ดำเนินคดีแชนนอนเลย

ระหว่างการไต่สวนคดีในศาล ดูเหมือนหลักฐานในคดีนี้จะไม่แจ้งต่อการเอาผิดใครได้เลย เพราะพยานที่รู้เห็นการฆาตกรรมสองหนุ่มสาว มีเพียงโจอี้ซึ่งติดคุกและแชนนอนซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย ไม่มีบุคคลอื่น เลยยากจะพิสูจน์อะไรได้

ในที่สุด เมื่อถึงปี 2009 อัยการและทนายจำเลยตกลงลดข้อหาของโจอี้ เหลือเพียงฆ่าคนตาย นั่นทำให้เขาต้องรับโทษ 15 ปี โชคดีที่เจ้าตัวอยู่ในเรือนจำมาแล้ว 4 ปี เลยติดเพิ่มอีก 11 ปี

ส่วนแชนนอนมีหลักฐานชี้ว่า ระหว่างติดคุกรอพิจารณาคดีข่มขืนเด็ก เขาส่งข้อมูลไปหานักสืบว่า จะให้เบาะแสการฆาตกรรมเดลและคิมเบอร์ลีย์ แต่ไม่มีใครฟัง เพราะคิดว่า อีกฝ่ายแค่พูดลักไก่เพื่อจะได้ย้ายไปอยู่คุกที่ดีกว่าเท่านั้น

นั่นยิ่งสร้างความสงสัยแก่สังคมว่า เขาอาจรู้เรื่องราวลึกๆ ในคดีนี้หรือไม่ แม้จะน่าสงสัยจากพฤติกรรมสุดอันตรายแค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่เคยโดนตั้งข้อหาฆ่าเดลและคิมเบอร์ลีย์เลย 

เนื่องจากอัยการเห็นว่า แม้ทางการจะเชื่อว่าโจอี้ไม่ได้เป็นผู้ลั่นไก โดยมีฆาตกรตัวจริงเป็นคนลงมือ แต่การจะพิสูจน์ว่าแชนนอนเกี่ยวข้องกันนั้น ไม่อาจยืนยันได้จากคำพูดของโจอี้

ทุกวันนี้แชนนอนในวัย 50 กว่าปียังยืนยันว่า เขาไม่ใช่ฆาตกรในคดีนี้และปฏิเสธจะให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวทุกสำนัก

เป็นอันว่าหลังจากมีแต่ความมืดมนมานานกว่า 13 ปี ศพก็ถูกพบ เรื่องราวก็ได้รับการเฉลย แต่ฆาตกรตัวจริงหรือผู้เกี่ยวข้องที่นำไปสู่การฆาตกรรมเดลและคิมเบอร์ลีย์ ยังไม่ได้รับความชัดเจน

ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตต่างรู้สึกผิดหวังในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการที่แชนนอนยังลอยนวล และโจอี้ได้รับอิสรภาพเรียบร้อยแล้ว

เหมือนคดีจะถูกปิด แต่คำถามมากมายยังค้างคา ตกลงโจอี้พูดจริงไหม หรือเขาคือฆาตกร แล้วโยนความผิดให้แชนนอน หรือเขาพูดจริงถูกต้องทุกอย่าง แต่ตำรวจไม่อาจหาหลักฐานมาดำเนินคดีได้

ทุกอย่างจึงยังเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน สร้างความสงสัยให้กับคนทั้งสังคมแคนาดาอย่างมาก

แม่ของเดลให้สัมภาษณ์กับนักข่าว โดยยังคงเจ็บปวดกับความจริงที่ไม่ได้รับการแก้ไข เธอคิดว่าทั้งโจอี้และแชนนอนควรจะต้องได้รับโทษมากกว่านี้

แต่สุดท้ายมันก็ไม่เป็นดังที่เธอหวัง

นั่นทำให้หญิงชราพูดอย่างปลงๆ อันเป็นบทสรุปของคดีนี้แบบปวดร้าวว่า

“แม้จะอยากให้พวกเขาติดคุกมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงว่า

“ฉันไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรได้เลย ในเรื่องนี้”

 

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.cbc.ca/news/canada/newfoundland-labrador/lockyer-worthman-murrin-oliver-murder-manslaughter-cold-case-1.4711076

https://unresolved.me/kimberley-lockyer-dale-worthman

https://www.cbc.ca/news/canada/newfoundland-labrador/guilty-of-manslaughter-man-pleads-in-notorious-double-slaying-1.786018

https://www.metro.us/man-pleads-guilty-in-double-slaying-claims-a-mr-murrin-is-killer/

Tags: , , , , ,