1.
“ผมไม่เชื่อว่ามันคือการฆ่าตัวตายแน่ ผมคิดว่าหญิงสาวรายนี้ถูกฆ่า”
เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ ที่ 29 พฤศจิกายน 1970 เด็กหญิงสองคนออกเดินป่ากับพ่อในอิสดาวน์ (Isdal) ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งความตาย ที่ประเทศนอร์เวย์
สำหรับสมญานามของหุบเขานี้มีมาอย่างยาวนาน สถานที่ตรงนี้จะเข้ามาได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น และหากเดินป่าก็ต้องตระหนักถึงอันตราย เพราะมีคนเสียชีวิตพลัดตกเขาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหมอกที่หนาจนมองไม่เห็นทาง อีกทั้งยังมีคนที่เลือกมาจบชีวิตตัวเองที่ตรงนี้ด้วย มันจึงนำไปสู่ฉายาสุดสะพรึงดังกล่าว
อย่างไรก็ดี จุดที่หนูน้อยสองคนพร้อมพ่อของพวกเธอเดินนั้น ยังไม่อันตรายมาก ทว่าในวันนั้นก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนอิสดาวน์ไปตลอดกาล
เมื่อเด็กทั้งสองคนมองไปตรงที่ราบโล่ง กลับเห็นก้อนหินเรียงกันและได้กลิ่นบางอย่างโชยออกมาคล้ายกลิ่นเผาไหม้ เมื่อตรงไปก็พบภาพสุดสยอง เพราะที่มาของกลิ่นนี้คือศพที่นอนไร้ลมหายใจในสภาพกึ่งเปลือย ดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง ร่างโดนเผา หน้าเละจำไม่ได้ ผู้เป็นพ่อรีบพาลูกสาวทั้งสองกลับทันที และไปเรียกตำรวจเข้ามาสืบสวน เจ้าหน้าที่ระดมกำลังกันเข้ามา
เพราะแม้หุบเขาแห่งนี้จะชอบกลืนกินชีวิตมนุษย์ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะพบร่างโดนเผาแบบนี้ มันโหดร้ายยิ่งนัก
“ผมไม่เคยลืมภาพนี้เลย”
นี่คือคำพูดของลูกชายของหัวหน้าสืบสวนหญิงสาวในคดีนี้ จุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบรองเท้าบูตแฟชั่น เมื่อตรวจอย่างละเอียด พวกเขาพบว่า ใกล้ศพมีแหวนเครื่องประดับ นาฬิกาที่ระบุเวลา 10 นาฬิกา 10 นาที คาดว่ามันน่าจะหยุดเดินนานแล้ว ซึ่งทั้งแหวนและนาฬิกาถูกถอดออกวางไว้ใกล้ศพ ขณะที่ห่างออกไปยังพบร่มที่ชำรุดและขวดบางอย่าง
เมื่อสำรวจทุกอย่างแบบละเอียด เจ้าหน้าที่พบว่า หญิงสาวใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะกับการเดินป่าเลย และไหม้จนละลายติดเนื้อไปหมด
สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างมากก็คือ เสื้อผ้าของเธอถูกดึงยี่ห้อออก เช่นเดียวกับขวดที่ถูกดึงตราระบุว่าเป็นน้ำอะไรออกไป เหลือเพียงขวดเปล่าๆ
ทุกอย่างที่พบในจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ไม่เคยเชื่อเลยว่า มันคือการฆ่าตัวตาย หรืออุบัติเหตุจากการเดินสำรวจเทือกเขาแห่งความตาย นั่นจึงนำไปสู่คำถามว่า หากไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แล้วอะไรล่ะ คือสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวถูกเผาแบบเหี้ยมโหดขนาดนี้
และคำถามสำคัญก็คือ เธอคือใคร
2.
ไม่กี่วันหลังพบศพ เบาะแสบางอย่างก็เพิ่มขึ้นมาหลังพบว่า ที่สถานีรถไฟของเมืองมีตู้เก็บกระเป๋าช่องหนึ่งถูกเปิดออก เนื่องจากผู้ใช้ตู้นี้ไม่ได้จ่ายเงินเพื่อเก็บรักษาของอีกแล้ว ภายในมีกระเป๋าใบหนึ่ง ซึ่งเมื่อทางเจ้าหน้าที่สถานีแจ้งตำรวจมาตรวจ และพวกเขาเปิดข้าวของดู เก็บลายนิ้วมือเพื่อนำไปเทียบกับศพหญิงสาว ผลพบว่าตรงกัน และนั่นหมายความว่าผู้ตายเป็นเจ้าของกระเป๋านี้
“เจ้าหน้าที่คิดว่า มันน่าจะเป็นเบาะแสสำคัญที่จะคลี่คลายเรื่องราวทั้งหมดได้”
แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะของในกระเป๋ายิ่งเพิ่มปริศนาอีกมายมายโถมเข้าใส่อย่างหนักหน่วง เพราะมันมีวิกผมหลายอัน เสื้อผ้าจำนวนหนึ่ง ซึ่งแน่นอน ยี่ห้อถูกตัดออกไป
นักสืบพบเงินสดหลายสกุลเงิน มีทั้งนอร์เวย์ เยอรมนี เบลเยียม อังกฤษ และเหรียญของสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงยังพบแปรงหวีผม เครื่องสำอาง ช้อนชา และครีม ซึ่งถูกตัดยี่ห้อออกไป
นอกจากนี้ ยังมีแว่นสายตาหลายอัน และกระดาษที่เขียนด้วยลายมือ ซึ่งถูกเขียนเป็นตัวเลขและรหัสมากมายอย่างน่าสงสัย
เมื่อไม่มีเอกสารประจำตัวแก่หญิงสาว ทางเจ้าหน้าที่ทำได้แค่ระบุรูปพรรณผู้ตาย ซึ่งมีความสูง 164 เซนติเมตร ผมยาวสีดำออกน้ำตาล โดยตอนเสียชีวิตมีโบว์มัดผมสีน้ำเงินและขาวติดอยู่ ใบหน้าและจมูกเล็ก ดวงตาสีน้ำตาล อายุประมาณ 25-40 ปี
แต่เมื่อไร้นามเรียกขาน สื่อและตำรวจจึงพร้อมใจเรียกเธอว่า หญิงสาวแห่งอิสดาวน์ (The Isdal Woman) ชุดสืบสวนทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อค้นกระเป๋าเอกสารอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็พบใบลงทะเบียนเข้าพักโรงแรมแห่งหนึ่ง และยังค้นพบถุงพลาสติกที่ระบุร้านขายของ ซึ่งตั้งอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุพอสมควร ตำรวจเดินทางไปตรวจสอบ ได้พูดคุยกับเจ้าของร้าน ซึ่งจำหญิงสาวคนนี้ได้ เพราะเธอมาซื้อรองเท้าบูต คู่ที่พบใกล้ศพนั่นเอง
“เธอเลือกซื้อรองเท้านานกว่าลูกค้าทั่วไป แถมพูดภาษาอังกฤษแปร่งๆ ท่าทางก็ดูนิ่งๆ”
สิ่งที่เจ้าของร้านจำแม่นนอกจากท่าทางแล้ว ก็คือกลิ่นที่โชยออกมาจากหญิงสาว เขาเชื่อว่ามันเป็นกลิ่นกระเทียม
เมื่อเจอร้านที่หญิงสาวไปใช้บริการ พวกเขาก็ตระเวนตรวจสอบโรงแรมโดยรอบทั้งหมด ใช้เวลาอยู่นาน ก็พบสถานที่ซึ่งผู้ตายเข้าพัก มันมีการลงชื่อตอนลงทะเบียนเข้าพัก พร้อมกับการโชว์หนังสือเดินทาง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกับกระดาษที่เข้ารหัสไว้ จนรู้ว่าในช่วงก่อนตาย หญิงปริศนารายนี้เดินทางไปทั่วนอร์เวย์เลยทีเดียว
แต่พอไปตรวจสอบตามโรงแรม ทั้งจากใบเสร็จและสถานที่หลายแห่งซึ่งผู้ตายเดินทางไป นักสืบก็พบว่าเธอใช้ชื่อและหนังสือเดินทางปลอม ตอนลงทะเบียนเข้าพัก โดยเธอใช้ 8 ชื่อปลอมกับ 8 หนังสือเดินทางปลอม เข้าพักใน 9 โรงแรม ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 1970 ถึง 23 พฤศจิกายนปีเดียวกัน ซึ่งก็คือ 6 วัน ก่อนพบศพนั่นเอง
หญิงสาวแห่งอิสดาวน์คือใครกันแน่
พนักงานโรงแรมหลายคนจำผู้ตายได้ชัด เพราะการแต่งตัวที่โฉบเฉี่ยว เด็กเสิร์ฟในบาร์ ยังคิดจะแต่งเลียนแบบเธอเลย
อย่างไรก็ดี พนักงานโรงแรมยังได้เผยนิสัยแปลกๆ ของหญิงสาว นั่นก็คือตอนออกจากห้อง เธอจะเอาเก้าอี้ออกไปวางตรงทางเดิน แล้วเมื่อกลับมาก็จะลากเก้าอี้นี้กลับไปในห้อง และมีพยานเห็นว่าหญิงสาวคนนี้ แอบเปลี่ยนตัวเลขห้องที่ประตูเองด้วย
ที่สำคัญ ครั้งหนึ่งพนักงานโรงแรมเปิดเข้าห้องเธอเพื่อทำความสะอาด ยังเห็นหญิงสาวนั่งอยู่กับชายปริศนาคนหนึ่งในนั้น แต่ไม่มีการพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เรื่องนี้ตรงกับข้อมูลของเด็กเสิร์ฟที่เห็นผู้ตายนั่งคุยกับผู้ชาย 2 คนที่โต๊ะอาหาร โดยไม่มีการสนทนาอะไรกันเลย
อีกทั้งก่อนจะพบศพ มีคนเห็นหญิงสาวเดินอยู่ใกล้ๆ อิสดาวน์พร้อมผู้ชาย เดินตามมาห่างๆ 2 คนด้วยกัน พยานที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กชาย เล่าว่า ตอนที่เขาเห็นเธอนั้น อีกฝ่ายไม่ได้แต่งตัวเหมือนจะปีนเขาเลย และหญิงสาวแห่งอิสดาวน์ก็หันมามองหน้าเด็กน้อย เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำพูดใดเปล่งออกมา
“ท่าทางเหมือนเธอกลัวๆ และรู้ตัวด้วยว่า มีคนแอบเดินตามมา”
3.
ด้านชุดชันสูตรศพก็ค้นพบข้อมูลสำคัญ คือก่อนเสียชีวิต หญิงสาวแห่งอิสดาวน์เขมือบยานอนหลับเป็นกำๆ พร้อมกินน้ำตามเข้าไปอึกใหญ่ สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนตายด้วย
อย่างไรก็ดี การกินยานอนหลับขนาดนี้ไม่ทำให้หญิงสาวคนนี้เสียชีวิตทันที แต่ทำให้เธออยู่ในสภาพมึนงง ทว่ายังพอมีสติอยู่บ้าง
หากเธอตั้งใจจะจบชีวิตตัวเองลง ก็แค่กินยานอนหลับ แล้วนอนรอความตายที่ห้องพักได้ ไฉนเลยถึงกระเสือกกระสนไปกลางป่าด้วย
“หากไม่จุดไฟเผา เธอก็คงจะไม่รอดอยู่แล้ว”
ที่สำคัญยานอนหลับซึ่งพบในร่างนั้น ไม่ได้มีขายในนอร์เวย์ แต่หาซื้อได้จากประเทศอังกฤษต่างหาก
ผลชันสูตรนี้ยิ่งทำให้ตำรวจฟันธงว่า เธอไม่ได้ฆ่าตัวตายแน่ แต่อาจถูกกรอกยานอนหลับในปริมาณมหาศาล แล้วถูกยกร่างไปไว้ที่จุดเกิดเหตุ แล้วจุดไฟเผาตรงนั้น ทำลายหลักฐานบางอย่างแล้วหลบหนีไป คาดกันว่าจะมีคนร้าย 2 รายด้วยกัน
เมื่อเจ้าหน้าที่ย้อนดูเอกสารในโรงแรม และส่งลายมือไปให้ผู้เชี่ยวชาญดู พวกเขาก็พบอะไรน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม เช่น ตอนที่เธออ้างว่ามาจากเบลเยียม ซึ่งเป็นประเทศที่เธออ้างอิงบ่อยสุด ตรงหน่วยงานที่ออกหนังสือเดินทางเขียนว่า สำนักงานเขตบรัสเซลล์ ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกตั้งและใช้แค่ตอนที่นาซีเข้ายึดครองเบลเยียม ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการใช้อีกเลย
ทางผู้เชี่ยวชาญลายมือบอกว่า หญิงสาวน่าจะเคยเรียนที่ฝรั่งเศส หรือในชุมชนของประเทศเบลเยียมกับสวิตเซอร์แลน์ที่พูดภาษาฝรั่งเศส เพราะรูปแบบการเขียนคล้ายกับคนที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อชุดสืบสวนเตรียมเดินทางไปปารีส ฝรั่งเศส เพราะในกระดาษที่พบในกระเป๋า ระบุว่า หญิงสาวเคยเดินทางไปกรุงปารีสก่อนตาย อยู่ดีๆ หน่วยข่าวกรองของนอร์เวย์ ก็เข้ามาแทรกแซง ไม่ให้เดินทางไปต่างแดน
จนทำให้ในที่สุดชุดสืบสวนก็สรุปคดีอย่างรวบรัดว่า หญิงสาวแห่งอิสดาวน์ฆ่าตัวตาย ปิดคดีไปอย่างง่ายๆ เสียอย่างนั้น
4.
อย่างไรก็ดี แม้คดีนี้จะถูกปิดไปแล้ว แต่ตลอด 53 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครเชื่อว่ามันคือการฆ่าตัวตาย แม้กระทั่งตำรวจนอร์เวย์ สุดท้ายพวกเขาจึงรื้อฟื้นคดีมาใหม่หลังสังคมเรียกร้อง และเปิดรับเบาะแสใหม่ๆ เข้ามาจนถึงปัจจุบัน
เช่นเดียวกับคนที่ชอบในคดีอาชญากรรมและคดีฆาตกรรมที่ปิดไม่ลง ต่างรวมกลุ่มสืบสวน ตั้งเป็นชมรม สำนักข่าวหลายแห่งทำเป็นสกู๊ปพิเศษ เพื่อหาว่าหญิงสาวแห่งอิสดาวน์คือใครกันแน่
มันกลายเป็นคดีที่สังคมนอร์เวย์ลุ่มหลงที่จะหาข้อเท็จจริงอย่างมาก
จากข้อมูลการสืบสวนของนักข่าว โยงไปถึงเหตุการณ์สำคัญในยุคนั้นที่น่าสนใจมาก นั่นก็คือความจริงที่ว่า ปี 1970 สงครามเย็นในยุโรปรุนแรงอย่างยิ่ง นอร์เวย์มีพรมแดนติดกับสหภาพโซเวียต และมีสายลับทั้งโซเวียต สายลับจากทั่วทุกแห่ง มารวมตัวกันในประเทศนี้มากมาย
หญิงสาวแห่งอิสดาวน์อาจจะเป็นสายลับหรือไม่ เพราะเธอใช้ชื่อปลอม หนังสือเดินทางปลอม มีวิกผมที่ง่ายต่อการปลอมตัว แม้จะแต่งตัวดี แต่ก็พยายามทำตัวเงียบๆ ไม่ให้เป็นที่สนใจ เพื่อจะได้เดินทางไปหลายที่ โดยไม่มีใครสังเกตเห็นมาก
อย่างไรก็ดี หากเธอทำงานเป็นสายลับจริง แล้วตัวหญิงสาวคนนี้เป็นสปายฝ่ายไหนกันแน่
3 ปีหลังพบศพเธอ ในปี 1973 สายลับอิสราเอลบุกยิงชายตะวันออกกลาง กลางถนนนอร์เวย์ เพราะเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้วางแผนปฏิบัติการสังหารนักกีฬาอิสราเอล ที่โอลิมปิกกรุงมิวนิก เยอรมนี เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ปรากฏว่าสายลับชุดปฏิบัติการทั้งหมดที่โดนจับ กลับติดคุกสั้นๆ แล้วถูกเนรเทศออกจากประเทศไปเสียเฉยๆ
รายงานข่าวชิ้นสำคัญเผยว่า ช่วงเวลานั้น นอร์เวย์มีความสัมพันธ์ทางลับกับอิสราเอล คือส่งวัตถุดิบที่ใช้สร้างระเบิดนิวเคลียร์อย่างลับๆ โดยนอร์เวย์ลอบส่งของไปแลกกับการที่อิสราเอลจะมอบองค์ความรู้ เพื่อสร้างพลังงานปรมาณูด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสันติภาพให้
เป็นไปได้ไหมว่า ที่หน่วยข่าวกรองนอร์เวย์แทรกแซงการทำงานของชุดสืบสวน เพราะไม่ต้องการให้มีใครล่วงรู้ปฏิบัติการลับนี้
แล้วเรื่องนี้หญิงสาวแห่งอิสดาวน์เกี่ยวอะไร
สำนักข่าวแห่งหนึ่งเผยข้อมูลน่าสนใจว่า บางทีเธออาจจะเป็นสายลับของผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ซึ่งในช่วงเวลานั้น มีอภิมหาเศรษฐีเจ้าของธนาคารชาวสวิตเซอร์แลนด์รายหนึ่ง ซึ่งตอนเด็กเคยพบ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำพรรคนาซีเยอรมัน และเคยไปอยู่เบลเยียม เพื่อเป็นสายลับให้กับนาซีขณะยึดครองประเทศดังกล่าวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งพอเสร็จสงคราม เขาจึงมีหนังสือเดินทางเบลเยียมมากมาย และกลับไปก่อตั้งธนาคารที่สวิตเซอร์แลนด์
และเพราะยังศรัทธาในลัทธินาซี เศรษฐีรายนี้จึงพกความเกลียดยิวอยู่เต็มเปี่ยม และลอบออกเงินสนับสนุนให้กับกลุ่มก่อการร้ายปาเลสไตน์เพื่อฆ่าคนยิวด้วย
โดยบันทึกเสียงของตัวเศรษฐีที่พูดกับนักเขียนซึ่งถูกจ้างมาทำหนังสือชีวประวัติให้ มีการค้นพบบทสนทนา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าเคยพบกับผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ที่ฝรั่งเศส เพื่อออกทุนให้ และไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดการจี้เครื่องบินโดยฝีมืออาชญากรรายนี้
ช่วงเวลาที่เศรษฐีคนนี้ไปฝรั่งเศส มันตรงกับช่วงเวลาที่หญิงสาวแห่งอิสดาวน์อยู่ด้วย จากรหัสลับที่เจ้าหน้าที่ค้นพบ หรือเป็นไปได้ว่า เธอนั่งอยู่กับเศรษฐีรายนี้กับผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ และเดินทางมานอร์เวย์เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ทั้งอาจหาลู่ทางก่อการร้าย หรือมีเอี่ยวกับอดีตสมาชิกนาซีด้วย
ทฤษฎีนี้เข้าเค้ากับข้อสงสัยว่า การที่หญิงสาวแห่งอิสดาวน์เดินทางไปทั่วนอร์เวย์ ร่อนพักตามโรงแรม เธอไม่เคยระบุว่าทำงานอะไร แต่กลับมีเงินตะลอนสบายๆ บางทีอาจมีคนสนับสนุนออกทุนให้เดินทางอยู่แน่นอน
หรือเธออาจได้รับการว่างจ้างจากเศรษฐีเลือดนาซี ให้มาตรวจสอบเช็กข้อมูลบางอย่างในนอร์เวย์ แต่เพราะอิสราเอลกับนอร์เวย์มีความสัมพันธ์อันดีแบบลับๆ นั่นจึงเอื้อให้มีการเปิดช่อง ฆ่าปิดปากหรือฆ่าล้างแค้นสายลับหญิงคนนี้ แบบโหดเหี้ยม เพื่อส่งสัญญาณไปยังฝ่ายศัตรู
ข้อมูลทั้งหมดนี้ ขอย้ำว่าเป็นเพียงการสันนิษฐานที่ใกล้เคียงจะเป็นความจริงที่สุด แต่ก็ยังถือเป็นความจริงไม่ได้ เพราะเศรษฐีและผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์คนนั้น ต่างตายจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับหญิงสาวแห่งอิสดาวน์จริงหรือไม่ จึงทำให้ปริศนานี้ยังคงความพิศวงอยู่ต่อไป
5.
ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ยังเก็บหลักฐานทุกชิ้นจากคดีหญิงสาวแห่งอิสดาวน์ไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด รวมถึงการจำลองฟันและเก็บดีเอ็นเอไว้เป็นอย่างดี โดยในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอสร้างผังตระกูล จนจับฆาตกรต่อเนื่อง ปิดฉากคดีปริศนาได้เป็นจำนวนมาก
แต่ในยุโรป การเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอยังไม่แพร่หลาย เพราะคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล อย่างไรก็ดี ในสวีเดนก็เริ่มลองใช้จนจับคนร้ายได้แล้ว ทุกคนจึงหวังว่าหญิงสาวแห่งอิสดาวน์ จะถูกไขคำถาม จนได้รับคำตอบว่าเธอคือใครกันแน่ และทำอะไรในนอร์เวย์ ก่อนจะมาจบชีวิตสลดแบบนี้
หลังการเสียชีวิต คนในชุมชนที่พบศพต่างช่วยกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยเชื่อว่าเธอน่าจะเป็นคาทอลิก จึงฝังศพตามพิธีกรรมความเชื่อ และหาหลวงพ่อมาทำพิธีให้ โดยเก็บชิ้นส่วนบางอย่าง เพื่อจะได้เอาไปเทียบเคียง ที่จะส่งผลต่อการสืบสวนคดีในอนาคต เพราะทุกคนรู้ดีว่าหญิงคนนี้ไม่ได้ฆ่าตัวตายแน่นอน
ปัจจุบัน ตำรวจนอร์เวย์ประสานข้อมูลกับตำรวจสากลเพื่อหาเทียบเคียงดีเอ็นเอ โดยทุกฝ่ายหวังว่า ในอนาคตพวกเขาจะค้นพบดีเอ็นเอที่ใกล้เคียงกับหญิงสาวแห่งอิสดาวน์ แล้วปริศนาทั้งหมดก็จะได้คลี่คลายลงเสียที
“คดีนี้ เราไม่รู้ว่าเธอมาจากไหน จึงได้แต่หวังว่าในอนาคต จะมีคนในครอบครัวเธอลงทะเบียนดีเอ็นเอไว้ หรือไม่ก็มีใครสักคนพูดออกมาว่า ป้าของฉันหายตัวไป ในช่วงเวลานั้น
“และนำไปสู่คำตอบว่า ป้าของเธอคือหญิงสาวแห่งอิสดาวน์”
อ้างอิง
https://www.bbc.com/news/stories-48736937
https://www.bbc.com/news/world-europe-39369429
https://www.aetv.com/real-crime/isdal-woman
https://thecrimewire.com/true-crime/Who-Is-the-Isdal-Woman
Tags: นอร์เวย์, Haunted History, หญิงสาวแห่งอิสดาวน์, อิสดาวน์, คดีฆาตกรรมอิสดาวน์