“อย่าฆ่าผมเลย ผมมีภรรยาและลูก”
1
ไม่มีใครผิดสังเกตหรือสงสัยแม้แต่นิด เมื่อชายฉกรรจ์ 4 คนแต่งกายด้วยเครื่องแบบสีน้ำเงิน อันเป็นชุดของหน่วยตำรวจคุ้มกันประธานาธิบดี เดินเข้ามาในเครื่องบินแอร์บัส รุ่นเอ 300 ของสายการบินแอร์ฟรานซ์ เที่ยวบิน 8969 มุ่งหน้าจากประเทศแอลจีเรียสู่มหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์แจ้งคนบนเครื่องว่า จะขอตรวจหนังสือเดินทางอีกครั้ง
ผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง และกัปตันทั้ง 227 คน หยิบพาสปอร์ตออกมา โดยกำหนดการของเครื่องบินลำนี้จะออกเดินทางในเวลา 11.15 น. ของวันที่ 24 ธันวาคม 1994
ขณะที่ชายในเครื่องแบบสีน้ำเงินกำลังเช็กรายชื่อผู้โดยสารกับหนังสือเดินทางอยู่นั้น อีก 3 คนที่เหลือก็เดินไปขวางประตูเข้าออกเครื่องบิน เสี้ยววินาทีต่อมา พวกเขาควักปืนอาก้าและปืนกลอูซี่แล้วตะโกนก้องเสียงดัง
“ตอนนั้นแหละ ผมรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น” หนึ่งในผู้โดยสารเล่าอย่างระทึกขวัญ
ชายฉกรรจ์ถือปืนบุกเข้าไปในห้องนักบิน กินเวลาไม่นานทุกอย่างอยู่ในการควบคุม บุรุษในคราบตำรวจคุ้มกันประธานาธิบดีไม่มีจริง
พวกเขาปลอมตัวมาเพื่อจับตัวประกันในเที่ยวบิน 8969 นี้
ผู้โดยสาร แอร์ และกัปตัน ตัวแข็งทื่อ ไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่นิด
หนึ่งในคนร้ายตะโกนเรียกชายคนหนึ่งให้ลุกแล้วเดินมาข้างหน้า ใกล้กับประตูทางเข้าออกเครื่องบิน
“แกเป็นตำรวจแอลจีเรียเหรอ”
อีกฝ่ายถึงกับหน้าซีด เข่าอ่อน พร้อมพูดออกมาว่า “อย่าฆ่าผมเลย ผมมีภรรยาและลูก”
4 ทรชนฟังประโยคนี้จบ หนึ่งในนั้นก็เล็งปืนไปที่หัวแล้วเหนี่ยวไก เสียงดังสนั่น ทำเอาทุกคนในเครื่องช็อกตระหนก
ตำรวจแอลจีเรียเสียชีวิตทันที กระสุนแล่นทะลุหัวเขาไปอย่างโหดร้าย
ผู้ก่อเหตุจับร่างไร้วิญญาณ โยนออกไปสู่ข้างล่าง ลงสู่รถขนสัมภาระ
เขาคือเหยื่อรายแรกของโศกนาฏกรรมนี้
และไม่ใช่รายสุดท้าย
4 วายร้ายตะโกนเรียกชายคนหนึ่งอายุ 48 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ทูตพาณิชย์ของประเทศเวียดนามประจำแอลจีเรีย ชายคนดังกล่าวลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินกลับมาหยิบเสื้อคลุม
“ชายผู้น่าสงสาร” ผู้โดยสารรำลึกวินาทีสลด
เสียงปืนดังขึ้น
หนุ่มเวียดนามคือศพที่ 2 ของเหตุจับตัวประกันนี้
และแน่นอน เขาไม่ใช่รายสุดท้าย
2
ผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คนอยู่ในวัย 20 ปีต้นๆ โกนเครา ตัดผมเรียบร้อย หากไม่นับการลั่นไกสังหาร พวกเขาสุภาพกับตัวประกันมาก
“แต่พวกเขาฉายแววนักฆ่าเลือดเย็นอยู่ในตัว”
ชายทั้งสี่ตะโกนบอกผู้โดยสารที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า “พวกเราจะให้บทเรียนที่สาสมกับฝรั่งเศสและโลกใบนี้ นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่ทำจริง”
ระหว่างนั้นกำลังตำรวจรีบเข้าปิดล้อมเครื่องบินลำนี้ ทางรัฐมนตรีมหาดไทยของแอลจีเรียรุดมายังสนามบิน แล้วขอคุยกับกลุ่มคนร้าย
“พวกคุณต้องการอะไร”
“มึงต้องปล่อยตัวผู้นำของกลุ่มแนวร่วมอิสลาม” เขาหมายถึงพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งถูกรัฐบาลแอลจีเรียสั่งยุบไปในปี 1992 และกลุ่มแกนนำโดนจับขังคุก
วายร้ายเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวสมาชิกพรรคระดับสูง ทางการแอลจีเรียพยายามยื้อประวิงเวลา โดยขอว่าหากจะดำเนินตามเงื่อนไขนี้
“พวกคุณต้องปล่อยตัวประกันหญิง คนแก่และเด็กก่อน จากนั้นเราจะเริ่มคุยได้นะพวก”
4 ชั่วโมงหลังความตึงเครียด วายร้ายจึงอนุญาตให้ผู้โดยสารจำนวน 63 รายลงจากเครื่องได้
หน่วยปฏิบัติการพิเศษของแอลจีเรียตรงเข้าใกล้เครื่องบินลำนี้ พร้อมใช้กล้องส่องกลางคืนสำรวจชายทั้งสี่ กินเวลาไม่นานก็ได้ข้อมูลว่า แกนนำมือสังหารบนเครื่อง มีชื่อว่า อับดุลลาห์ ยาเฮีย (Abdullah Yahia) อายุ 25 ปี อาชีพขายผักในตลาดและมีประวัติหัวขโมย สังกัดกลุ่มหัวรุนแรงของแนวร่วมอิสลาม เคยก่อเรื่องในการต่อสู้ทางการเมืองหลายครั้ง
ยาเฮียพูดภาษาฝรั่งเศสได้ แต่ไม่คล่องปาก ทางเจ้าหน้าที่พยายามแก้ไขวิกฤต พวกเขาตามหาแม่ของหัวหน้ากลุ่มก่อเหตุเจอ แล้วพาตัวมาคุย
“ลูกแม่ ปล่อยตัวประกันทั้งหมดเถอะ”
ชายหนุ่มฟังแล้วเปิดประตูเครื่องบิน รัวกระสุนปืนใส่หอควบคุมการบินหลายนัด เป็นการตอบโต้ พร้อมพูดออกมาว่า
“แม่ครับ เราจะไปพบกันที่สรวงสวรรค์”
3
ที่ฝรั่งเศส รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศรับทราบเหตุจี้ตัวประกันนี้ พวกเขาพบว่า บนเครื่อง มีพลเมืองฝรั่งเศสอยู่ด้วย จึงตั้งทีมแก้ไขวิกฤต แจ้งไปยังรัฐมนตรีมหาดไทย นายกรัฐมนตรี และหน่วยปฏิบัติการพิเศษให้เตรียมพร้อม
“ถ้าพวกแอลจีเรียจัดการไม่ได้ พวกเราจะลุยเอง”
แผนผังของเครื่องบินแอร์บัส รุ่นเอ 300 ถูกนำมาพิจารณา แนวทางการบุกชาร์จเริ่มร่างรายละเอียด ในช่วงเวลานั้นชุดปฏิบัติการถูกพาตัวออกจากฝรั่งเศส มุ่งหน้าสู่เที่ยวบิน 8969 แต่ต้องหยุดการเดินทางไว้ที่สเปน เพราะรัฐบาลแอลจีเรีย อดีตอาณานิคม ไม่อนุญาตให้มีเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเข้ามาวุ่นวาย
วันที่ 25 ธันวาคมมาถึง สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ยาเฮียยื่นเงื่อนไขใหม่ “พวกเราต้องการเดินทางไปปารีส และหากพวกแกไม่อนุญาตให้บินขึ้น เราจะฆ่าตัวประกันทุกครึ่งชั่วโมง”
พวกเขาไม่ได้ขู่เล่นๆ แต่พาตัวกุ๊กประจำสถานทูตฝรั่งเศส ชาวแอลจีเรีย มาพูดใส่ไมโครโฟน สื่อสารไปยังหอบังคับการบิน
“ถ้าคุณไม่อนุญาตให้เครื่องลำนี้บิน พวกเขาจะฆ่าผม”
เจ้าหน้าที่แอลจีเรียไม่คิดว่าจะมีศพที่ 3 “พวกมันก็แค่ลักไก่”
แต่ 5 นาทีต่อมา ร่างของกุ๊กก็ถูกโยนออกจากเครื่อง ในสภาพไร้ลมหายใจ
นี่ไม่ใช่คำขู่
พวกมันเอาจริง
ในที่สุดรัฐบาลฝรั่งเศสก็รับแจ้งจากแอลจีเรีย เช้าตรู่วันที่ 26 ธันวาคม เครื่องลำนี้จะเดินทางมุ่งหน้าไปยังปารีส โดยต้องแวะเติมน้ำมันที่เมืองมาร์กเซย์ก่อน
“พวกเราจะจัดการปัญหานี้เอง” ทางการฝรั่งเศสตอบกลับมา ท่ามกลางความโล่งอกของรัฐบาลแอลจีเรีย
ขณะเที่ยวบิน 8969 กำลังทะยานจากแอฟริกา ทีมปฏิบัติการพิเศษก็รีบเดินทางกลับจากสเปน มุ่งหน้าเมืองมาร์กเซย์ ดินแดนตอนใต้ของฝรั่งเศสทันที สนามบินของที่นี่จะเป็นจุดสำคัญ แผนถูกวางไว้แล้ว เที่ยวบิน 8969 จะต้องลงที่นี่ และ 4 ทรชนจะไม่มีโอกาสได้ไปไหนอีกต่อไป ส่วนจะมีชีวิตรอดต่อไปไหม
ทีมปฏิบัติการพิเศษจะเป็นผู้มอบคำตอบให้เอง
หลายชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินแอร์บัสที่บรรทุกตัวประกันและผู้ก่อการร้ายก็มาถึงมาร์กเซย์ การเติมน้ำมันเริ่มขึ้น
ยาเฮียร้องขอเจ้าหน้าที่ให้เติมน้ำมัน 27 ตันเพื่อมุ่งหน้าปารีส สร้างความแปลกใจให้กับเจ้าหน้าที่อย่างยิ่ง เพราะหากจะไปเมืองหลวงฝรั่งเศส ใช้เชื้อเพลิงแค่ 10 ตันก็เพียงพอแล้ว
หน่วยข่าวกรองประเมิน บางทีพวกมันอาจต้องการบินไปยังประเทศมุสลิม อิหร่าน ซูดาน หรือเยเมน หรืออีกทฤษฎีหนึ่ง เติมน้ำมันเยอะแบบนี้อาจจะขับเครื่องไปถล่มปารีสหรือเปล่า
เวลานั้นยังไม่มีเหตุการณ์เครื่องบินผู้ก่อการร้ายพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ณ นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 11 กันยายน 2001 แต่ความหวาดเกรงว่า เครื่องบินที่มีเชื้อเพลิงเต็มลำจะสามารถสร้างความเสียหาย ก่อวินาศกรรมอย่างรุนแรง หากพุ่งลงพื้นมันจะฆ่าคนราวกับลูกระเบิดขีปนาวุธดีๆ นี่เอง
สิ่งนี้ได้ฝังลึกในหน่วยข่าวกรองทั่วโลก เช่นเดียวกับทางการฝรั่งเศส พวกเขาไม่อนุญาตให้เที่ยวบิน 8969 เข้ามาในปารีสโดยเด็ดขาด
สายลับฝรั่งเศสหาข้อมูลจากแหล่งข่าวแอลจีเรีย ได้รับการยืนยันว่า ยาเฮียน่าจะขับเครื่องบินพุ่งเข้าใส่หอไอเฟล ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับตัวประกัน และประชาชนชาวปารีสอย่างแน่นอน
“พวกมันไม่ได้มีแค่ปืน แต่ยังมีระเบิดแสวงเครื่องด้วย” เจ้าหน้าที่รับรู้ข้อมูลจากผู้โดยสารที่ถูกปล่อยตัวออกมา
ชุดปฏิบัติการประสานกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ของสนามบิน ทางการปลอมตัวเป็นคนนำเสบียงไปส่งให้กับผู้โดยสาร มอบน้ำ เก็บขยะ ระหว่างนั้นก็แอบติดอุปกรณ์ดักฟังในเครื่อง พร้อมกับประเมินสถานการณ์ทุกอย่าง
“พวกเราจะหาน้ำมันมาเติมให้ ขอเวลานิด” นี่คืออุบายเพื่อประวิงเวลา
เจ้าหน้าที่ตระเตรียมอาวุธเพื่อพร้อมรบกับยาเฮียและพวก เมื่อตรวจสอบก็พบข่าวดี นั่นก็คือว่าประตูทางเข้าเครื่องบินทั้งหน้าและหลัง ไม่มีการติดระเบิดไว้
ใกล้ได้เวลาลุยปลิดชีพผู้ก่อการร้ายแล้ว
4
อีก 15 นาทีจะถึง 5 โมงเย็นของวันที่ 26 ธันวาคม ผู้ก่อการร้ายเริ่มหมดความอดทน พวกเขาเปิดประตูเครื่องบินแล้วรัวกระสุนใส่หอบังคับการบิน
นี่คือฟางเส้นสุดท้าย หากช้ากว่านี้พวกมันจะต้องสังหารตัวประกันเป็นศพที่ 4 อย่างแน่นอน นักการเมืองสั่งไฟเขียวแก่ชุดปฏิบัติการ
ทางการวางทีมบุกช่วยตัวประกันไว้ทั้งหมด 38 คน แบ่งเป็น 3 ชุด เครื่องบินจอดนิ่งบนลานจอด แต่ผู้ก่อเหตุทั้งสี่ไม่สามารถจะมองสำรวจรอบๆ ได้ พวกเขาเหนื่อยล้าและเครียด อ่อนแรง เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเข็นบันไดที่เอาไว้เชื่อมกับประตูทางเข้าเครื่องบินมุ่งหน้าไปหาตัวประกัน
จังหวะดังกล่าวมีช่างภาพโทรทัศน์จับภาพนาทีสำคัญไว้ได้ การลากบันไดนี้เป็นไปอย่างฉับไว เพราะเที่ยวบิน 8969 ติดเครื่อง จึงไม่มีใครในนั้นได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
กินเวลาไม่นานบันไดก็ถึงประตูทางเข้า ทีมปฏิบัติการของฝรั่งเศสในชุดสีดำรีบวิ่งขึ้นบันได ในเสี้ยววินาทีนั้นหนึ่งในผู้ก่อการร้ายเห็นพอดี เขารัวปืนกลออกนอกหน้าต่าง ทำเอาทีมบุกตรงหน้าเครื่องบิน ถอยออกมา ก่อนพุ่งตัวพยายามเปิดประตูเครื่อง
ทุกอย่างผ่านไปนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่จริงๆ มันก็แค่ไม่กี่วินาที ในที่สุดประตูด้านหน้าเครื่องก็เปิดออก ชุดปฏิบัติการชักปืนยิงสวน มีระเบิดปาออกมา มันถูกใส่เจ้าหน้าที่รายหนึ่ง กลิ้งถอยร่วงจากบันไดมากองสู่พื้น โชคดีที่เขาใส่เสื้อเกราะกันกระสุน แม้จะบาดเจ็บ แต่ไม่เป็นอะไรมาก เจ้าตัวกระชับปืนแล้ววิ่งขึ้นไปต่อ ภาพทั้งหมดถูกจับได้โดยช่างภาพโทรทัศน์
จังหวะนั้นผู้ช่วยกัปตันกระโดดออกจากห้องคนขับ กระแทกสู่ด้านล่าง มือและขาน่าจะหัก แต่เขากัดฟันวิ่งหนีเอาตัวรอด โดยมีเจ้าหน้าที่ประคองคุ้มกัน
การบุกที่ประตูหน้าเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ที่ประตูหลัง มันเปิดออกอย่างไร้การต่อต้าน
90 วินาที หรือเพียงนาทีครึ่งที่เข้าชาร์จเที่ยวบิน 8969 ตัวประกันชุดแรกถูกพาตัวลงทางออกฉุกเฉิน เบาะลมกางออก ทุกคนสไลด์ตัวลงมา มีเจ้าหน้าที่อีกชุดคุ้มกัน ให้วิ่งหนีจากจุดดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
ผู้ก่อเหตุ 2 รายถูกเป่าด้วยลูกปืน นอนนิ่งเป็นผีเฝ้าสนามบินมาร์กเซย์ ส่วนคนร้ายอีกรายและยาเฮีย ถอยเข้าไปที่ห้องคนขับเครื่องบิน
กระสุนปืนแลกกันอย่างดุเดือด ทีมปฏิบัติการพิเศษไม่ผลีผลาม ในห้องนั้นนอกจากผู้ก่อการร้าย 2 รายแล้ว ยังมีกัปตันเครื่องบินและพนักงานต้อนรับชายอยู่ในนั้นด้วย
ทางการฝรั่งเศสโยนระเบิดแสงเข้าไปทางหน้าต่างห้องกัปตัน แต่ไม่สะเทือนอะไรวายร้ายแม้แต่นิด
4 นาทีหลังบุกช่วยตัวประกัน ขณะนี้ผู้โดยสาร แอร์โฮสเตส และเจ้าหน้าที่บนเครื่อง ถูกพาตัวออกมาได้หมดแล้ว ยกเว้นกัปตัน พนักงานต้อนรับ กับ 2 ผู้ก่อการร้าย
สไนเปอร์ของฝรั่งเศสซึ่งอยู่บริเวณหลังคาสนามบิน ลั่นไกไปยังห้องนักบินเพื่อหวังปลิดชีพผู้ก่อเหตุ ด้านนอกเสียงปืนของชุดปฏิบัติการซัลโวกระสุนเป็นชุดอัดเข้าไป พร้อมกับค่อยๆ ย่างกรายเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ ผ่านเบาะที่นั่งแถวแล้วแถวเล่า มือยังคงลั่นไกแบบต่อเนื่อง
หลายนาทีผันผ่าน ความตึงเครียดแล่นไปถึงจุดสูงสุด
ทันใดนั้นก็สะดุ้ง
เสียงปืนจากห้องนักบินกลับเงียบไป
“หยุดยิง หยุดยิง”
หัวหน้าชุดปฏิบัติการสั่งการ พวกเขายังไม่ผลีผลามเข้าไป แต่ทุกอย่างเงียบอย่างน่าใจหาย
ระหว่างที่กำลังชั่งใจและรีรอนั้น เสียงวิทยุในห้องนักบินส่งต่อไปยังหอบังคับการบิน และได้ยินถึงหูชุดปฏิบัติการก็ดังขึ้น
“ผู้ก่อการร้ายทุกคนตายหมดแล้วครับ”
มันเป็นเสียงกัปตันกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น ทางการรีบบุกเข้าห้องนักบิน พบร่างยาเฮียโดนยิงตายพร้อมกับลูกน้อง
ส่วนกัปตันและพนักงานต้อนรับผู้ชายรอดชีวิตอย่างเหลือเชื่อ
“ถ้าดูรูกระสุนในห้องนักบิน พวกเราลั่นไกไป 1,500 นัด ช่างเป็นปาฏิหาริย์มากที่พวกเขาไม่แม้แต่มีรอยขีดข่วนอะไรเลย”
ช่างภาพโทรทัศน์จับภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนเริ่ม ระหว่าง และไปจนจบ ฟุตเทจดังกล่าวถูกนำเสนอผ่านช่วงข่าวเย็น มีคนฝรั่งเศสนับล้านเฝ้าชมนาทีระทึกดังกล่าวด้วยความตกตะลึง
54 ชั่วโมงของการจับตัวประกัน แต่ใช้เวลาเพียง 17 นาทีในการคลี่คลาย ผู้ก่อการร้ายตายหมด 173 ผู้โดยสารที่ถูกจับเป็นตัวประกันรอดชีวิต โดยมีบางคนเจ็บเล็กน้อย น่าเสียดายและน่าเศร้าที่มีผู้เคราะห์ร้าย 3 รายถูกสังหารอย่างเลือดเย็น
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในวันนั้นได้รับการยกย่อง นี่คืองานที่ยาก ตอนลงมือก็ยังไม่มืด แต่พวกเขามีทั้งทักษะและความกล้าหาญ จนปราบปรามทรชนหัวรุนแรงลงได้ เช่นเดียวกับกัปตันและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็ได้รับการยกย่องในความกล้าหาญ ไม่ยอมจำนน เผชิญหน้ากับความเป็นตาย
นี่คือเกียรติยศที่ถูกยกย่องจากทางการในเวลาต่อมา
พลันที่รัฐบาลฝรั่งเศสได้รับข่าวดี พวกเขาต่างโล่งอก เช่นเดียวกับสายลับฝรั่งเศสที่โล่งใจไม่แพ้กัน เขาเล่ากับสื่อภายหลังว่า หากปฏิบัติครั้งนี้ล้มเหลวหรือช่วยไม่ทัน
“พวกมันต้องขับเครื่องบินพุ่งชนหอไอเฟลอย่างแน่นอน”
พันตรี เดนนิส ฟาวีเย (Denis Favier) วัย 35 ปี หัวหน้าชุดปฏิบัติการดังกล่าว ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า นาทีที่บุกไปนั้น เมื่อเสียงกระสุนของผู้ก่อการร้ายลั่นออกมา พวกเขาก็ยิงโต้ไป
“มันเหมือนกับนรกแตกเลย”
แต่ทุกฝ่ายก็ผ่านมาได้อย่างฉิวเฉียด มันคือปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง กลายเป็นกรณีศึกษาของแผนช่วยตัวประกันที่หลายประเทศเอาเยี่ยงอย่าง
ทั้งนี้นอกจากนาทีชุดปฏิบัติการลุยฝ่าขึ้นเครื่องที่กลายเป็นภาพจดจำแล้ว คำพูดของฟาวีเยก็ยังได้รับการเล่าขานจนถึงปัจจุบัน
มันคือประโยคอมตะที่ถูกนำเสนอผ่านทางสื่อหลายครั้งหลายครา
โดยทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลา 17.35 น. ของวันที่ 26 ธันวาคม 1994 กลิ่นเขม่าปืนยังไม่จางหาย ผู้พันฟาวีเยตรวจความเรียบร้อย ก่อนจะหยิบวิทยุแจ้งไปยังทุกฝ่ายให้รับทราบว่า “ปฏิบัติการเสร็จสมบูรณ์ ความเสียหายถูกจำกัด 54 ชั่วโมงแห่งความยากลำบากของแอร์ฟรานซ์ เที่ยวบิน 8969 บัดนี้จบสิ้นลงแล้ว”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.nytimes.com/1994/12/26/world/hijacked-airliner-forced-to-france.html
https://combatoperators.com/notable/missions/air-france-flight-8969-hijacking-gign-raid/
https://time.com/archive/6726643/algeria-anatomy-of-a-hijack/
Tags: Haunted History, Air France 8969, แอร์ฟรานซ์, จับตัวประกัน, ฝรั่งเศส, ก่อการร้าย