1.
เดือนมิถุนายน 2004 ตำรวจอัฟกานิสถานพบศพเปลือยถูกทิ้งไว้นอกกรุงคาบูล เมืองหลวงของประเทศ คนตายคือนักธุรกิจชื่อดัง จึงกลายเป็นแรงกดดันให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งไขคดี จากการสอบสวนพบว่าก่อนเสียชีวิต ผู้ตายโทรศัพท์บอกเพื่อนว่ากำลังเดินทางไปคุยธุรกิจที่บ้านหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่นำกำลังไปบ้านหลังดังกล่าว เมื่อเข้าค้นบ้านก็พบเอกสาร เสื้อผ้า และทะเบียนรถของผู้ตาย
การค้นพบครั้งนี้ทำให้ตำรวจคาดคั้นคนในบ้านทั้งหมด นำไปสู่การขุดบริเวณหลังบ้านก่อนพบซากศพถูกฝังไว้ถึง 9 ศพด้วยกัน ตำรวจเข้าค้นบ้านอีกหลังของครอบครัวนี้ในเมืองจาลาลาบัดซึ่งอยู่ทางตะวันออกของคาบูล หลังจากขุดหลังบ้าน ก็เจอศพถูกฝังไว้อีก 18 ศพ มันจึงกลายเป็นเรื่องสะเทือนขวัญสังคมอัฟกานิสถาน ไล่เลี่ยกับช่วงเวลาที่อเมริกากรีธาทัพเข้ามามีบทบาทในการโค่นล้มรัฐบาลตาลีบัน เพื่อก่อตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นมา
เหตุการณ์นี้เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ คนในบ้านทั้ง 6 คนถูกจับ ศาลตัดสินประหารชีวิตทั้งหมด แต่ในช่วงเวลานั้น หญิงสาวคนหนึ่งที่ร่วมก่อเหตุเกิดตั้งท้องขึ้นมา ทำให้ทางการไม่ประหารชีวิตเธอ แต่ลดโทษเป็นจำคุกแทน
หากเธอถูกจับกุมในยุคตาลีบันครองเมือง เธอจะถูกประหารชีวิตต่อหน้าประชาชนทันที ไม่ว่าจะท้องหรือไม่ แต่ในยุคนั้น อัฟกานิสถานมีความ ‘ศิวิไลซ์’ ขึ้นแล้ว หญิงสาวจึงได้รับความปรานีจากประธานาธิบดีในสมัยนั้นให้มีชีวิตอยู่ต่อไป และเมื่อตอนนี้กลุ่มตาลีบันกลับมายึดครองประเทศได้อีกครั้ง คาดว่าหญิงสาวคงมีชีวิตปกติสุขในคุก มันปลอดภัยกว่าจะออกมาอยู่ข้างนอก ที่ซึ่งอิสรภาพเป็นเรื่องขมขื่นของชาวอัฟกันอย่างมาก
หญิงสาวคนนี้ร่ำไห้เรียกร้องกับนักข่าวที่เข้าไปสัมภาษณ์ตลอดมาว่า เธอคือผู้บริสุทธิ์ เธอถูกซ้อมให้รับสารภาพ เธอไม่เคยฆ่าใครตายแต่ถูกคนในบ้านบังคับให้ล่อลวงเหยื่อมาที่บ้านต่างหาก ทว่าเพื่อน ๆ ในคุก รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐต่างยืนยันว่าหญิงสาวที่ชื่อว่า ชิริน กูล (Shirin Gul) คนนี้ มีส่วนร่วมในการสังหารเหยื่อ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงแข็งก็ตาม
“เรารู้ว่าเธอโกหก ชิริน กูล ฆ่าผู้ชายพวกนี้อย่างแน่นอน”
2.
ในอัฟกานิสถาน ข้อมูลไม่มีความแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าชิริน กูล อายุเท่าไรกันแน่ สันนิษฐานกันว่าเธออายุประมาณ 40-50 ปี นักข่าวนิวยอร์ก ไทมส์ที่เข้าไปคุยกับเธอรายงานว่าประวัติของชิริน กูลนั้นยากจะตรวจสอบความถูกต้องได้ หญิงสาวเผยว่าตัวเองกำพร้าพ่อแม่เมื่ออายุได้ 2 ขวบ พออายุได้ 11 ปีก็ถูกจับให้แต่งงานกับชายชรา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในรัฐบาลคอมมิวนิสต์ยุคสหภาพโซเวียตยึดครองอัฟกานิสถาน
การแต่งงานเป็นไปอย่างขมขื่น เป็นวัฒนธรรมในย่านนี้ที่คนแก่มักจะสู่ขอแต่งงานกับเด็กหญิงอายุน้อย ชิริน กูลไม่อาจรอดจากวัฒนธรรมโหดร้ายนี้ได้ เมื่อแต่งงานอยู่ด้วยกัน สามีอายุคราวพ่อคนนี้ทำร้ายร่างกายเธอแทบทุกวัน ในช่วงเวลานั้น ชิริน กูลมีโอกาสได้รู้จัก รามะตุลละห์ (Rahmatullah) ญาติของสามี ซึ่งทำงานขับรถให้กับคนของกลุ่มนักรบตาลีบันที่ตอนนั้นกำลังหาทางโค่นล้มรัฐบาลอยู่
ตัวรามะตุลละห์เหมือนชาวอัฟกันทั่วไป แต่ที่แปลกคือตัวเขาชอบมาเยี่ยมเมียใหม่ของญาติเป็นอย่างมาก และมักจะเอาขนม อาหารหรือของขวัญมาให้กับชิริน กูลอยู่เป็นประจำ ความเมตตาแปรเปลี่ยนกลายเป็นความใกล้ชิดสนิทสนม ก่อเกิดเป็นความชอบพอ และกลายเป็นความรักขึ้นมาในชีวิตของเด็กสาว ในที่สุดเมื่อทั้งคู่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง จึงตัดสินใจเข้าไปคุยกับสามีของชิริน สารภาพว่ารักกัน อยากจะย้ายออกไปอยู่ด้วยกัน แต่สามีของชิรินไม่ยอม เขาไม่อยากต่อต้านญาติ แต่ก็ไม่อยากสูญเสียเมียคราวลูกไป หญิงสาวนักฆ่าให้สัมภาษณ์ถึงสามีคนนี้ว่า
“เมื่อเขากลายเป็นคนขี้ขลาด ก็สมควรต้องตาย”
สองชู้รักจึงร่วมกันฆาตกรรมสามีก่อนนำศพไปฝังหลังบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะขุดพบเจอศพนี้ในสวนหลังบ้านของครอบครัวใหม่
หลังกำจัดอดีตสามีไปได้ ชิริน กูลจึงเป็นอิสระและย้ายไปอยู่กับรามะตุลละห์ในบ้านที่มีลูกชายเขา ลุง หลาน และน้องเขย ณ เมืองคาบูลทันที ทั้งหมดมีความสนิทสนมกับกลุ่มตาลีบัน ขั้วอำนาจใหม่ที่กำลังชนะสงครามกลางเมือง นั่นจึงทำให้คนในบ้านมีความปลอดภัยอย่างมาก พวกเขาทำงานขับรถ แต่มีรายได้มหาศาลจากการฆ่าคน
ในวัฒนธรรมของอัฟกานิสถาน จะมีการเชิญคนแปลกหน้ามาให้อาหารให้น้ำระหว่างการเดินทาง เป็นธรรมเนียมเก่าแก่แสดงถึงความโอบอ้อมอารี บ้านของรามะตุลละห์ก็ชอบทำแบบนั้น หลายครั้งจะมีคนขับรถเข้ามาหาอะไรกิน พวกเขาจะได้กินเคบับ ซึ่งภายในมีการใส่ยาระงับประสาทในปริมาณค่อนข้างสูงผสมไว้ เมื่อเหยื่อกินเข้าไปก็จะเสียชีวิต
หลังจากนั้นพวกเขาจะเอาศพไปฝังไว้ที่หลังบ้าน ถอดทะเบียนรถออก ก่อนขับรถไปขายยังชายแดนปากีสถาน รายได้ถือว่ามหาศาลในยุคลำเค็ญ ณ ประเทศที่มีสงครามรบพุ่งกันมาตลอดหลายสิบปี มันคือรายได้ที่ทำให้คนทั้งบ้านไม่เพียงมีชีวิตรอดเท่านั้น แต่ยังร่ำรวยอีกด้วย
ครอบครัวใหม่ของชิรินหากินกับการฆ่าคน และกลายเป็นครอบครัวที่มั่งคั่ง ใจบุญสุนทานมาก ชิริน กูลมักจะนำเงินไปช่วยเหลือมัสยิดแถวบ้าน ขณะค้นบ้าน ตำรวจพบว่าตัวหญิงสาวนำเงินที่ได้จากการขายรถ ไปซื้อทอง อัญมณี เธอสะสมรองเท้าไว้ด้วยกันถึง 22 คู่
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการล่อลวงคนมาฆ่าเกิดขึ้นก่อนชิริน กูลจะมาเป็นสะใภ้ในครอบครัวนี้หรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามันเริ่มต้นเมื่อชิริน กูลเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านแล้วต่างหาก บทบาทหลักของชิริน กูลคือเธอจะแสร้งว่าเป็นโสเภณี แต่จริงๆ เป็นนางนกต่อเพื่อล่อลวงชายหนุ่มให้มาบ้านเพื่อมีเซ็กซ์ ก่อนจะถูกฆาตกรรม แรงจูงใจในการก่อเหตุคือเงินเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ชิริน กูล ยืนยันว่าเธอถูกบังคับให้ไปล่อลวงพวกคนขับรถมาที่บ้านหลังนี้เท่านั้น ไม่เคยฆ่าใคร แถมยังเคยอ้อนวอนสามีใหม่ว่าอย่าทำแบบนี้อีกเลย แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ยิ่งรัฐบาลตาลีบันถูกขับไล่ออกไป การฆ่ายิ่งดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครสนใจคนขับรถที่หายตัวไปในประเทศที่เพลิงสงครามลุกไหม้ มีคนล้มหายตายจากแทบทุกวัน
แม้คนในบ้านดูวิปริต แต่ชิริน กูลยังยืนยันว่า
“รามะตุลละห์เป็นคนดี เราเป็นครอบครัวที่อยู่กันอย่างมีความสุข”
3.
ในคุกหญิงของอัฟกานิสถาน พวกเขาอนุญาตให้นักโทษสามารถเลี้ยงดูลูกได้จนกว่าเด็กจะอายุ 18 ปี นั่นทำให้นักโทษหลายคนในนั้นต่างให้นมเลี้ยงเด็กๆ เป็นจำนวนมาก มีโรงเรียนไว้สอนหนังสือ ชิริน กูลก็เช่นกัน เธอมีลูกสาวที่ต้องเลี้ยงดูในนั้น ขณะนี้เด็กหญิงอายุได้ 15 ปีแล้ว อีกแค่ 3 ปีก็ต้องออกมาใช้ชีวิตนอกเรือนจำ
แต่ไม่รู้ว่าชิริน กูลอยากให้ลูกออกมาไหม หากรู้ว่ารัฐบาลตาลีบันกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง
นักข่าวเคยถามว่าการที่ลูกสาวอยู่ในคุกแบบนี้ เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง ชิริน กูลตอบด้วยความโมโหต่อคำถามโง่ๆ นี้ว่า
“มันเป็นคุก คิดว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรล่ะ แม้ว่ามันจะกลายเป็นสวรรค์ก็ตาม แต่คุกก็ยังเป็นคุกอยู่ดี”
ลูกของชิริน กูล จะพกรูปของรามะตุลละห์อยู่เสมอ เด็กหญิงพูดเสมอว่านี่คือรูปพ่อของเธอ แต่จากการตรวจสอบ มันมีความเป็นไปได้น้อยมากที่รามะตุลละห์จะเป็นพ่อของเด็กหญิงคนนี้ เพราะหากย้อนดูช่วงเวลาที่เกิด ชายที่เด็กหญิงคิดว่าเป็นพ่อนั้นติดคุกอยู่ในเรือนจำแล้ว แถมแยกขังคนละสถานที่ด้วย เป็นไปไม่ได้เลยว่าชิริน กูลกับรามะตุลละห์จะได้พบเจอและพลอดรักกัน
แล้วใครเป็นพ่อของเด็กกันแน่?
เรื่องนี้ไม่มีใครทราบ เสียงร่ำลือก็คือ เจ้าหน้าที่ในคุกคนใดคนหนึ่งต่างหากที่เป็นพ่อที่แท้จริงของเด็กหญิง
ชุดสืบสวนในคดีนี้เปิดเผยว่า ชิริน กูลไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่คนธรรมดาใสซื่อ ทำตามคำสั่งของครอบครัวสามีในการลวงคนมาฆ่าเท่านั้น แต่เธอ ‘แสบ’ ใช้ได้ และถือเป็นฆาตกรต่อเนื่องด้วย พวกเขายืนยันว่าการที่เธอตั้งท้องนั้น เป็นความตั้งใจที่จะเลี่ยงโทษประหารชีวิต ทุกอย่างคือแผนการที่วางไว้หมดแล้ว
ตลอดเวลาที่สื่อต่างชาติเข้าไปสัมภาษณ์ชิริน กูล เธอจะย้ำว่าตัวเองถูกยัดเยียดข้อหา เจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่ว่าหากเธอไม่รับสารภาพ พวกเขาจะควักลูกตาเธอออกมา
อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่เคยกระทำแบบนั้น พร้อมยืนยันว่าคำสารภาพของเธอนั้นเกิดขึ้นมาเอง มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวไว้เป็นหลักฐานด้วย นอกจากนี้ เพื่อนร่วมคุกและเจ้าหน้าที่ต่างยืนยันว่าชิริน กูลยอมรับว่าได้ฆ่าคนที่มาบ้านจริงๆ แต่ชอบปฏิเสธกับนักข่าวว่าไม่ได้ทำ
หลายคนเผยตรงกันว่าตัวชิริน กูลนั้นมีอาการทางจิต บางทีอยู่ดีๆ ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บางทีก็รับสารภาพ บางทีก็ปฏิเสธ บางทีก็โมโห บางทีก็เศร้าหมอง เรื่องนี้นักข่าวที่เข้าไปสัมภาษณ์ก็เห็นตรงกัน บางคราตัวหญิงสาวก็ก่นด่ารามะตุลละห์ว่าเป็นพวกชอบเด็ก เป็นคนเลว เป็นฆาตกร เป็นผีพนัน แต่ในเวลาต่อมา เธอกลับบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่วิเศษสุดในโลก
ในคุก ชิริน กูลคือคนจริงและมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ผู้คุมมองเธอเป็นน้องสาวที่แสนดี ส่วนเพื่อนนักโทษในคุกต่างเคารพยำเกรงหญิงสาวคนนี้ อย่าลืมว่าเธอคือฆาตกรที่มีส่วนร่วมฆ่าคนไปกว่า 27 ศพ เป็นฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่สังหารคนติดอันดับโลก น่าเสียดายที่ว่าระบบการเก็บข้อมูลและการสืบสวนของอัฟกานิสถานไม่ได้ยอดเยี่ยมทัดเทียมประเทศตะวันตก เราจึงไม่อาจรู้อย่างแน่ชัดว่าเหยื่อที่ถูกสังหารโหดไปนั้นมีจำนวนเท่าไร มากกว่า 27 ศพหรือไม่ เพราะรู้กันดีว่าตัวเลขการฆ่าคนของพวกฆาตกรต่อเนื่องนั้น ตัวเลขจริงๆ สูงกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการมาก
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากชิริน กูลเท่านั้น
ฆาตกรต่อเนื่องหญิงยืนยันว่าเธอคือผู้บริสุทธิ์ และจะยืนยันความจริงนี้ไปตลอดชีวิต เธอบอกสื่อให้ไปแจ้งรัฐบาลอัฟกานิสถาน แจ้งรัฐบาลอเมริกัน เพื่อให้รับรู้ว่าเธอคือเหยื่อของพวกเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งทำงานเอาหน้ารับเงินมายัดข้อกล่าวหาให้เธอ ไม่แน่ใจว่าภายใต้รัฐบาลตาลีบันที่ยึดครองอัฟกานิสถานเรียบร้อยแล้ว ชิริน กูลจะยังอยากยืนกรานความบริสุทธิ์ของตัวเองอีกหรือไม่ จะยังอยากออกมาข้างนอกหรืออยากปล่อยลูกสาวเป็นอิสระในโลกกว้างหรือไม่
เราไม่มีข้อมูลใหม่ในเรื่องนี้ ดูเหมือนอัฟกานิสถานจะกลายเป็นประเทศลึกลับลงไปเรื่อยๆ จึงมีเพียงบทสัมภาษณ์ในอดีตของชิริน กูลที่พูดไว้ว่า
“ฉันจะไม่ปล่อยลูกออกไปข้างนอกเด็ดขาด ฉันมีศัตรูเยอะ และฉันไว้ใจใครไม่ได้ ที่สำคัญคือต่อให้เขาเอาฉันไปแขวนคอ ฉันก็ยังยืนกรานว่าไม่เคยฆ่าใคร”
อ้างอิง
https://www.nytimes.com/2015/03/01/world/charming-and-erratic-a-notorious-afghan-speaks.html
http://news.bbc.co.uk/2/hi/south_asia/4391507.stm
Tags: ตาลีบัน, อัฟกานิสถาน, ฆาตกรต่อเนื่อง, Haunted History, ชิริน กูล