มันราวกับว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในยุคกลาง เหล่าชาวบ้านในแผ่นดินห่างไกลในอิตาลี ชุมชนยากจนที่ประกอบอาชีพ รับจ้างทำไร่ยาสูบ พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนทาสติดที่ดิน ขลุกอยู่ในไร่นาของขุนนางเจ้าที่ดิน พวกเขาจะได้รับสินค้าข้าวของ เงินทองเล็กๆ น้อยๆ จากเจ้าของที่ดิน แลกเปลี่ยนกับแรงงานตลอดปีที่ทุ่มลงไปผ่านทางนายหน้าที่เข้ามาในหมู่บ้านนานๆ ครั้ง ขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับขบวนรถบรรทุกบุโรทั่ง แล้วขนเอาผลผลิตยาสูบที่ทำได้ไปทั้งหมด
ใครคนหนึ่งกำลังจะขอใครอีกคนหนึ่งแต่งงาน พวกเขาไม่เคยออกไปไหนไกล ทำงาน กินอยู่หลับนอนโดยไม่มีความเจริญใดๆ ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร ไม่มีโทรทัศน์ หรืออินเทอร์เน็ต นานๆ ครั้งเจ้าที่ดินจะแวะมาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศ สำรวจตรวจสอบกิจการ บางคนก็อาจจะฝันถึงโลกข้างนอก แต่ไม่มีใครได้ออกไปจริงๆ เพราะข้างนอกนั้นอันตรายเกินไป
ลาซซาโรเป็นคนหนุ่มตัวเล็กที่ไร้ปากเสียง แต่เป็นแขนขาของคนทั้งหมู่บ้าน เขาถูกสั่งให้ทำงานทุกอย่างที่ไม่มีใครอยากทำแต่เขายินดีทำ เขาต้องคอยดูแลยาย ให้อาหารสัตว์ ขนย้ายข้าวของ เมื่อต้องการใครสักคนในการช่วยเหลืออะไรสักอย่าง ผู้คนจะร้องเรียกลาซซาโร แล้วเขาก็จะมา แต่ไม่มีใครชื่นชมเขา เขาไม่มีทางได้แต่งงาน หรือเติบโตเต็มตัว เขาเป็นเพียงคนประหลาดของหมู่บ้านที่มีไว้ช่วงใช้
วันหนึ่งเจ้าที่ดินมาที่หมู่บ้านเพื่อพักตากอากาศกับลูกชายและลูกสาว เขาเป็นเด็กหนุ่มสวยงามหัวขบถจากในเมือง ได้สร้างมิตรภาพกับลาซซาโร หนีออกจากบ้านไปอยู่บนเขาและบังคับลาซซาโรคนทึ่มให้คอยดูแล หากแต่ลาซซาโรเชื่อมั่นในมิตรภาพและคำสัญญา เขาคิดว่านี่คือเพื่อนคนแรกในชีวิตของเขา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างง่ายๆ จนมีคนทนไม่ได้ที่เด็กหนุ่มหายตัวไป เลยไปแจ้งตำรวจ ลาซซาโรพลัดตกหน้าผา โลกทั้งโลกได้รับรู้ว่ามีการขูดรีดแรงงานแบบโบราณ หมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน ‘ได้รับความช่วยเหลือ’ ให้เปิดออกสู่โลกปัจจุบัน ทุกอย่างขับเคลื่อนไปโดยมีลาซซาโรเป็นคนที่ถูกลืม
จนเมื่อเขาฟื้นตื่นขึ้น และกลับเข้ามาในหมู่บ้านอีกหลายปีต่อมา หมู่บ้านก็ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว ไม่มีใครสักคนที่เขารู้จักหลงเหลือ ปราสาทของเจ้าที่ดินกลายเป็นอาคารรกร้างที่พวกโจรลักเล็กขโมยน้อยเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินที่หลงเหลือ ลาซซาโรผู้ซึ่งยังเยาว์ และยังคงเยาว์วัยตลอดกาล เดินเท้าเข้าเมือง อย่างคนไม่มีที่ไป เพื่อตามหาผู้คนจากหมู่บ้านของเขา ที่ตอนนี้ เป็นอิสระจากการกดขี่โดยใครคนใดคนหนึ่ง แต่ชีวิตไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ยังคงยากจนทำงานหนัก แถมยังไร้ที่อยู่ เป็นอิสระจากโลกแบบหนึ่งไปถูกกดขี่ขูดรีด เป็นคนชายขอบของโลกทุนนิยมร่วมสมัย
ด้วยสายตาอันงดงาม นี่คือหนังที่เล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย ครึ่งแรกของหนังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการติดตามกิจวัตรของผู้คนในหมู่บ้าน สอดส่องบทสนทนาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหนังจะเร่ิม ดำเนินไปโดยผู้ชมเสมือนเข้าไปจ้องมองในฐานะคนนอก โดยมีลาซซาโรเป็นเหมือนของประกอบฉากในทุกแห่งหน หนังค่อยๆ ปรับโฟกัสมาที่เด็กหนุ่มจิตใจโอบอ้อมอารีนี้ เรื่องเล่าก็ค่อยๆ เข้มข้นขึ้น ก่อนฤดูร้อนของครึ่งแรกจะจบลง และหนังเคลื่อนเข้าสู่ฤดูหนาวที่ไม่มีลาซซาโร ในเมืองสกปรกทึมเทา โลกผู้คนจรจัดแร้นแค้นข้างถนนที่การปรากฏตัวของลาซซาโรค่อยๆ เรียกคืนความดีงามและความอุดมสมบูรณ์กลับมาอีกครั้ง
ลาซซาโรกลายเป็นภาพแทนของอุดมคติดั้งเดิม ถ้ามนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่าความดีงามอยู่จริง หน้าตาของความดีงามก็คงจะเป็นอย่างลาซซาโร ความดีงามในที่นี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราถกเถียงกันผ่านปรัชญามาหลายร้อยปีว่ามันคืออะไร และมันเป็นความดีงามของใคร ความดีงามของลาซซาโร เป็นเหมือนสิ่งที่มีอยู่มาก่อน เป็นนามธรรมอันเลื่อนลอย และตัดขาดออกจากผลประโยชน์ มันเป็นความโอบอ้อมอารี ความอุดมสมบูรณ์ เป็นยูโทเปียในสภาวะมนุษย์ เป็นสิ่งที่ศาสนาต้องการจะไปให้ถึงแต่ไปไม่ได้ กล่าวให้ถูกต้องคือลาซซาโรเป็นความดีงามที่คงทนข้ามกาลเวลาและไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์คิดฝันเอาจากการต้องเผชิญหน้ากับโลกที่เลวร้าย ความบริสุทธิ์ และสายตาของเด็ก ความเชื่อมั่นและไม่ยอมแพ้ จึงมีคุณสมบัติเป็นเรื่องเหนือจริงที่มนุษย์ปรารถนาให้เกิดขึ้นแต่ก็หวาดกลัวมัน โลกสัจนิยมมหัศจรรย์ครึ่งเรื่องหลัง จึงเป็นการถกปรัชญาคุณค่าของความดีงามในโลกทุนนิยมที่งดงามมาก
ชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นตัวละครของคนชั้นล่างในโลกสองแบบ หนึ่งคือโลกศักดินาดั้งเดิมที่พวกเขาไม่มีอิสรภาพ ไม่ได้รับการปลดปล่อย โลกที่คนตกเป็นทาสของคน โลกที่มารกซ์เขียนไว้ว่าต้องถูกล้มล้าง ชนชั้นนายทุนสูบเลือดเนื้อผู้คน ทิ้งให้ผู้คนไม่คิดไม่ฝันจมอยู่ในความแร้นแค้นยากลำบาก ในโลกแบบนั้น ลาซซาโรจึงเป็นเสมือนความเอื้ออารีที่ผู้คนมอบแก่กัน เป็นเพียง ‘เด็กชาวบ้าน’ ที่เรียกใช้ได้ไม่บ่น เป็นเพียงความสามัญธรรมดา เกียรติภูมิในฐานะผู้คนที่มอบให้แก่กันได้อย่างง่ายๆ ไม่ระแวดระวัง มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่คนอย่างลาซซาโรจะถูก ‘หลอกใช้’ให้เป็นข้าทาสบริวารรับใช้นายน้อย โดยล่อลวงผ่านเกียรติภูมิของผู้คนอย่าง มิตรภาพ ความเป็นเพื่อนซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างในการใช้งานแบบ ‘คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด’
แต่คนฉลาดฉลาดอยู่ได้ไม่นาน ชาวบ้านในครึ่งหลังฉายภาพของโลกทุนนิยม ที่เชื่อกันว่าจะมาปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระจากการถูกกดขี่โดยชนชั้นศักดินา แต่ชนชั้นศักดินาเก่าทั้งหลายก็กลายเป็นนายทุน ไร่ยาสูบถูกแปลงเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้มากกว่านั้น เช่นความฝันเชิงปัจเจกว่าชีวิตจะดีขึ้นแค่เพียงเราทำงานหาเงินเป็นเฟืองขับเคลื่อนโลกทั้งใบ ชาวบ้านกลายเป็นคนจรหมอนหมิ่นในเมืองใหญ่ กินอยู่หลับนอนที่พื้นที่รกร้างใช้ชีวิตกับการลักเล็กขโมยน้อย ลูกชายเจ้าที่ดินเติบโตเป็นชายวัยกลางคนที่สิ้นหวัง มีอดีตอันรุ่งโรจน์กับปัจจุบันที่ร่วงโรย ไม่มีใครได้รับการปลดปล่อย ไม่มีชีวิตใครดีไปกว่าเดิม เพียงยากจนและสิ้นหวังในแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
การกลับมาอย่างเยาว์วัยของลาซซาโรจึงเป็นการกลับมาของความดีงามที่ห่างไกลผู้คนออกไปอีก ความดีงามแบบลาซซาโรในโลกที่แม้แต่เกียรติภูมิก็ไม่หลงเหลือ ทำให้ลาซซาโรเป็นสิ่งเหนือจริงน่าอัศจรรย์มากกว่าเด็กชาวบ้านทึ่มทื่อ บางคนถึงกลับขยาดหวาดกลัวเขา เขาเป็นทั้งเทพที่โอบอุ้มและผีที่คอยหลอกหลอน ลาซซาโรมองดูผู้คนที่ล้วนแก่เฒ่าลง ชำรุดทรุดโทรมลง และเขานำพาความอุดมสมบูรณ์มาด้วยเพียงการดำรงคงอยู่ เช่นเดียวกันกับการเชื่อว่าาจะมีวันที่ดีรอเราอยู่เราก็จะมีวันที่ดี ลาซซาโรเป็นเช่นเดียวกันกับความหวัง
ในฉากหนึ่งที่งดงาม และอธิบายความลาซซาโรได้น่าทึ่งคือฉากที่ขบวนคนยากจนถูกไล่ออกไปจากโบสถ์ หากความดีงามแบบลาซซาโรถูกผูกอิงอยู่กับศาสนา ศาสนจักรก็ได้ตัดขาดตัวเองออกจากศาสนา เสียงดนตรีที่เพรียกหาผู้คนจึงล่องลอยออกจากโบสถ์และติดตามกองเกวียนคนทุกข์บนถนนไป
แต่ความหวังดีใดๆ เพียงพอหรือที่เราจะอยู่อาศัยบนโลกใบนี้ ขณะที่หนังทั้งเรื่องอภิปรายฉายภาพถึงความดีงามและความหวัง ฉากจบของหนังกลับเป็นฉากที่รุนแรงสุดขีด เมื่อลาซซาโรถามว่าแล้วอะไรกันที่ทำให้ทุกคนเป็นแบบนี้ ด้วยความหวังดี เขามุ่งสู่ใจกลางศาสนสถานของโลกทุนนิยม เพื่อที่จะพบว่าไม่พื้นที่ของความหวังดีใดๆ หลงเหลือบนโลกใบนี้
หนังอาจเป็นเหมือนนิทานสาธกเชิงสัญลักษณ์ง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความละเอียดลออในการถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ภาพยนตร์ได้เปล่งพลังของมันที่ทำให้เรื่องเชิงอุปมาที่เล่าออกมานี้ถูกห่อหุ้มอยู่ในงานภาพยนตร์ที่อบอุ่น งดงาม จนมันเป็นได้ทั้งหนังที่มอบความหวัง ทำลายความหวัง มอบความครุ่นคิด การตระหนักถึงโลกนามธรรมที่กดขี่เราและช่วยเราไว้ เป็นหนึ่งในหนังที่งดงามที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปี ในขณะที่เมื่อเราทาบทับหนังเรื่องนี้เข้ากับโลกที่เราอาศัยก็ทำให้รู้สึกว่า อันที่จริงขณะนี้ ตอนนี้ ไม่ได้เป็นคนจรหมอนหมิ่น แต่เป็นชาวไพร่ในไร่ยาสูบที่ถ้าลาซซาโรเคยมีชีวิตอยู่ และเขาก็ไม่กลับมาแล้ว มีแต่เราที่ถูกเจ้าที่ดินขูดรีดและขูดรีดกันเองในโลกอันสิ้นหวังนี้
Fact Box
Happy as Lazzaro จะฉายในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคมนี้ ในเทศกาลหนังอิตาลี ที่ CINEMA OASIS สุขุมวิท 43 จองบัตรและติดตามรายละเอียดได้ที่ https://www.italianfilmfestivalbangkok.com/