จาก Zero COVID สู่การประท้วงต้านล็อกดาวน์

‘จีน’ มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

หากไข้หวัดปริศนาที่เริ่มต้นที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ของจีน สร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญให้กับโลกชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จีนก็ไปสู่จุดที่ไม่สามารถหันหลังกลับได้เช่นกัน…

ในช่วงแรกนั้น จีนใช้วิธีการจัดการแบบเด็ดขาด ต้นตำรับการ ‘ล็อกดาวน์’ ไม่ได้มาจากประเทศอื่น หากแต่มาจากจีน ด้วยการปิดเส้นทาง ปิดเมือง ห้ามคนเข้า-ออก ห้ามผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสใกล้ชิดออกจากบ้าน ด้วยหวังว่าโรคนี้จะหยุดแค่ในจีนเท่านั้น แต่ทั้งหมดก็เป็นที่รู้กันว่าช้าเกินไป โรคนี้ระบาดไปไกลเกินกว่าที่จีนจะรู้ตัว…​ นั่นจึงตามมาด้วยการล็อกดาวน์เต็มขั้นในปี 2020 และล็อกดาวน์บางส่วนในปี 2021 กระทั่งเริ่มมีการผลิตวัคซีน และการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้าง การจัดการแบบล็อกดาวน์จึงทุเลาลง

แต่นั่นไม่ใช่ที่จีน… เป็นที่รู้กันว่า สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีนนั้นใช้นโยบายเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชนิดที่ว่าปล่อยให้มีคนติดโควิด-19 ไม่ได้ เป็นการจัดการแบบ Zero COVID ที่เคร่งครัด หากใครติดเชื้อจำเป็นต้องปิดพื้นที่ จำเป็นต้องกักตัวในอพาร์ตเมนต์ จำเป็นต้องปิดสำนักงาน ภาพที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้ง แม้สื่อจีนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ก็คือภาพความสับสนอลหม่านเมื่อผู้คนต้องคอยวิ่งออกจากอาคารก่อนที่จะถูกล็อกดาวน์

Zero COVID เป็นนโยบายที่สี จิ้นผิง ระบุว่าเป็นความพยายามที่ประสบผลสำเร็จที่สุดของจีน โดยหากเทียบอัตราตายและอัตราการติดเชื้อแล้ว จีนมีนัยที่ต่ำอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่จีนยกขึ้นบ่อยๆ ก็คือ Zero COVID ทำให้อัตราการตายของจีนต่ำกว่าสหรัฐอเมริกา และต่ำกว่าทุกประเทศในสหภาพยุโรปอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม Zero COVID กลับส่งผลชะงักงันกับเศรษฐกิจจีน อัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่พุ่งขึ้นไปถึง 20% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา การล็อกดาวน์ส่งผลกระทบต่อประชาชนในบางเขตที่ไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ตามปกติ ต้องแอบลักลอบข้ามไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อทำงานเป็นภาพให้เห็นจนชินตา เมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีประชากร 25 ล้านคน เคยถูกบังคับให้ต้องล็อกดาวน์นานกว่า 2 เดือน เช่นเดียวกับการปิดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์ หรือสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็ล้วนส่งผลกระทบทำให้การท่องเที่ยวของจีนและคนเล็กคนน้อยทั้งห่วงโซ่ไม่สามารถหารายได้ได้ตามปกติ

ขณะเดียวกัน เมื่อทั่วโลกเดินทางสัญจรข้ามไปมากันปกติ การเดินทางออกจากจีนและเข้าจีนยังเป็นไปอย่างยากลำบาก การห้ามไม่ให้คนจีน 1,400 ล้านคน เดินทางออกนอกประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งในจีนและทั่วโลกอย่างรุนแรง

อีกส่วนหนึ่งคือ GDP ของจีนก็หดหายไปด้วย ในขณะที่ GDP ทั่วโลกเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศเป็นไปในลักษณะก้าวกระโดด การคาดหมายปีนี้คือ GDP จีนจะยังโตอยู่เพียง 3.2% น้อยกว่าที่ทางการคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 5.5% และน้อยกว่าปีที่แล้วที่อยู่ที่ 8.1% ซึ่งทำให้ประเทศอาจประสบภาวะยากลำบากอีกครั้ง

นอกจากนี้ อะไรที่ไม่เคยได้เห็นก็จะได้เห็น Zero COVID ส่งผลกระทบทำให้เกิดการประท้วงในหลายเมืองนับตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีจุดเริ่มต้นจากสถานการณ์เพลิงไหม้ในอพาร์ตเมนต์ที่อุรุมชี เขตซินเจียง จนมีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน ความเข้าใจจากสาธารณชนก็คือเหตุที่เสียชีวิตเกิดจากทางการไม่อนุญาตให้คนเหล่านี้หนีออกมา เพราะอพาร์ตเมนต์แห่งนี้อยู่ในสถานะล็อกดาวน์ เหตุเพลิงไหม้ด้วย Zero COVID กลายเป็นชนวนเหตุประท้วงไปทั่วจีน ไม่ว่าจะในเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเสียงตะโกนว่า ‘สี จิ้นผิง ออกไป’ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบทศวรรษที่ผ่านมา กลายเป็นภัยคุกคามพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ไม่เคยมีใครมองเห็นมาก่อน

การประท้วงลามไปถึงเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก การเรียกร้องประชาธิปไตย การขอให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ลาออก และยุติการสืบทอดอำนาจ ซึ่งผิดกฎหมายจีนอย่างรุนแรง 

คำถามก็คือแล้วทำไม Zero COVID ยังดำรงอยู่… แต่เดิมนั้น หลายคนเชื่อว่า สี จิ้นผิง จะรอจนถึงการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนตุลาคม 2022 เพื่อ ‘ต่ออายุ’ ตัวเขาออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะปลดล็อก Zero COVID เพราะสมาชิกพรรคและคณะกรรมการพรรคจะใช้เหตุผลตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุผลในการไม่ต่ออายุให้เขา กระนั้นเอง หลังการประชุมพรรคและมติให้ต่ออายุ คำมั่นของ สี จิ้นผิง ก็คือนโยบายนี้จะยังอยู่ต่อไป ท่ามกลางการจับตาของทั่วโลกว่าเมื่อไร พญามังกรจะเปิดประเทศและติดต่อกับทั่วโลกจริงจัง

ปฏิกิริยาหลังเหตุประท้วง…

สิ่งที่น่าสนใจก็คือทันทีที่มีการ ‘ลงถนน’ พร้อมด้วยกระดาษเปล่านั้น การจัดการล็อกดาวน์นั้นเปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัว (China Xinhua News) กระบอกเสียงของรัฐบาลจีนบอกว่า รัฐบาลจะค่อยๆ ผ่อนคลายล็อกในหลายพื้นที่ รวมถึงเซี่ยงไฮ้ แม้ตัวเลขการติดเชื้อใหม่ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่า ด้วยความรุนแรงของโรคที่น้อยลงขณะนี้ อัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น และด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้จีนสามารถปรับขั้นตอนใหม่ในการอยู่กับโรคได้ดีขึ้น

ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การแถลงข่าวจากทางการนั้นเลิกระบุถึงนโยบายโควิดเป็นศูนย์อีกต่อไป โดยให้ภาพของมาตรการหลังจากนี้กว้างๆ ว่าจะเป็นเรื่องการขยายอัตราการฉีดวัคซีน รวมถึงมาตรการป้องกันโรคอื่นๆ เท่านั้น แม้แต่มาตรการสื่อสารเกี่ยวกับโรคระบาดก็เปลี่ยนไปสู่การขอให้ประชาชนอุ่นใจ ไม่ตื่นตระหนกกับสายพันธุ์โอมิครอน ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงสัปดาห์เดียว หากนับจากการประกาศให้เซี่ยงไฮ้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ลดละก็คือความพยายามในการหยุดการประท้วง และการจับกุมผู้ชุมนุมที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจแปลได้อีกอย่างว่าจีนอาจทนกับโรคระบาดได้ แต่ทนกับการประท้วงไม่ได้ 

ถึงตรงนี้ ความท้าทายต่อปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาโรคระบาด ได้ลามไปสู่ปัญหาการเมือง และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ฝ่ายรัฐบาลจีน และผู้สนับสนุนจีนยืนยันว่าการประท้วงดังกล่าวเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับประชากรจีน 1,412 ล้านคน 

ถึงที่สุด เรื่องนี้อาจเป็นเพียงก้อนกรวดในรองเท้าของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่องคาพยพยังใหญ่โต ยังสามารถควบคุมกองทัพได้ และเสี้ยนหนามในคณะโปลิตบูโรก็ถูกจัดการให้สิ้นซากไปแล้วในการเลือกตั้งคณะกรรมการพรรคชุดใหม่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่ทุกการประท้วง ทุกการโค่นล้มรัฐบาลย่อมเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ และอำนาจนั้น ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งอันตราย 

ที่มา:

https://www.theguardian.com/world/2022/dec/01/chinas-vice-premier-signals-shift-in-covid-stance-as-some-lockdowns-eased

https://www.theguardian.com/world/2022/dec/01/zero-covid-five-charts-that-show-how-restrictions-are-throttling-the-chinese-economy

 

Tags: , , , , ,