เปิดฉากอย่างเป็นทางการไปแล้วกับซีเกมส์ครั้งที่ 29 ที่มาเลเซีย และก็เหมือนซีเกมส์หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ทั้งที่ยังแทบไม่มีข่าวคราวการชิงเหรียญสำคัญๆ เสียด้วยซ้ำ ก็มีข่าวคาวความไม่แฟร์ให้ได้บ่นกันแล้ว ทั้งการดูแลนักกีฬาที่ไม่เสมอภาค การจัดตารางแข่งที่ดูเอียงๆ และโดยเฉพาะการตัดเอากีฬาที่เจ้าภาพไม่มีหวังออก และยัดเยียดกีฬาแปลกๆ เข้ามาพร้อมกับเหรียญรางวัลจำนวนมาก จนซีเกมส์แทบจะมีชื่อเล่นว่า ‘ซีโกง’ ไปแล้ว

ถ้ามองว่ากีฬาต้องเป็นกิจกรรมที่แข่งกันอย่างเท่าเทียมจริงๆ ซีเกมส์ก็ดูจะไม่ตอบโจทย์นั้นเท่าไหร่ แต่ถ้ามองอีกแบบว่ามันคือการเอาชนะ การช่วงชิงการแก่งแย่ง ไปจนถึงสงคราม เราอาจพอจะเข้าใจมันได้มากขึ้น

​ จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักเขียนชื่อดัง เจ้าของผลงาน Animal Farm และ 1984 เคยอธิบายด้านมืดของกีฬาไว้อย่างน่าสนใจว่า กีฬาที่แข่งกันอย่างจริงจังคือ ‘สงครามที่แค่ไม่มีการยิงกัน’ (war minus the shooting) และมันก็กลายเป็นโควตดังที่มักจะถูกยกมาพูดถึงเสมอ ยามที่พบว่ากีฬาไม่ใช่แค่อะไรใสๆ

​ โควตดังกล่าวของออร์เวลล์มาจากบทความชื่อว่า ‘The Sporting Spirit’ โดยเขาอธิบายว่า เอาเข้าจริงแล้วกีฬาอาจไม่ได้สร้างความเป็นมิตร (อย่างที่ใครๆ มักจะพูดถึง) เท่ากับที่ทำลายมัน กีฬาที่มุ่งแข่งขันอย่างจริงจังนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ริษยา โอ้อวด ยโส อย่างที่จะเห็นได้จากความรุนแรงในกีฬาหลายๆ ครั้ง และก็ไม่ใช่แค่ผู้เล่น แต่มันส่งผลสำคัญต่อคนดูมากกว่าด้วยซ้ำ

​ สำหรับออร์เวลล์แล้ว ปัญหาสำคัญที่สุดของกีฬาคือมันมักจะไปส่งเสริมความเป็นชาตินิยม เป็นความวิกลจริตสมัยใหม่ ที่ผู้คนต้องการจะยึดโยงตัวเองเข้ากับอำนาจอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง โดยเฉพาะกับคนในเมืองที่ใช้ชีวิตอย่างอุดอู้ ไม่มีกิจกรรมกลางแจ้งจะปลดปล่อยพลังงานล้นเกินอย่างคนชนบท พวกเขาจึงปลดปล่อยมันออกมาผ่านการเชียร์กีฬาที่ยิ่งเร่งเร้าความเป็นชาตินิยม

อุปมาว่ากีฬาเหมือนสงครามนี้น่าจะยิ่งชัดขึ้น ถ้าทำความเข้าใจมันผ่านไอเดียเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบน แอนเดอร์สัน (Ben Anderson) เพราะถ้าเรามองว่าชาติคือชุมชนในจินตนาการที่คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกร่วมกันขึ้นมาแล้ว การแข่งขันกีฬาทีมชาติก็น่าจะเป็นการทำให้จินตนาการนั้นเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้อย่างชัดเจนที่สุดวิธีหนึ่ง มันทำให้เห็นชาติตัวเป็นๆ กระโดด วิ่งเตะ ฯลฯ อยู่ในสนาม และเมื่อจ้องเอาแพ้เอาชนะกัน มันก็คือสงครามจำลองดีๆ นี่เอง

​ ‘The Sporting Spirit’ เผยแพร่ครั้งแรกใน Tribune วารสารฝ่ายซ้ายรายสัปดาห์ที่ออร์เวลล์เคยเป็นบรรณาธิการ บทความเกี่ยวกับกีฬาโดยตรงชิ้นเดียวของออร์เวลล์นี้ [i] ถูกเขียนขึ้นในเดือนธันวาคมของปี 1945 ไม่กี่เดือนหลังจบสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่กี่วันหลังจากที่ดินาโม มอสโคว์ (Dynamo Moscow) สโมสรฟุตบอลชั้นนำของโซเวียตมาทัวร์แข่งฟุตบอลกับสโมสรในเกาะอังกฤษ

ในทัวร์นั้น ดินาโม มอสโคว์ทำสถิติไม่แพ้ใครทั้ง 4 นัด ชนะอาร์เซนอล 4-3 ถล่มคาร์ดิฟฟ์ 10-1 เสมอเชลซี 3-3 และเสมอกับกลาสโกว์เรนเจอร์ส 2-2 แต่ดูเหมือนว่าผลการแข่งขันที่น่าอายสำหรับสโมสรจากเกาะอังกฤษไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ออร์เวลล์ขุ่นเคือง สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากการที่รัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษให้การต้อนรับคณะทัวร์เป็นอย่างดี ทั้งที่โซเวียตที่ถูกปกครองโดยโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) นั้นมีความน่ากังขาหลายอย่าง

ออร์เวลล์มีแนวคิดแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย และมีปัญหาอย่างมากกับการปกครองของสตาลินที่ตัดต่อพันธุกรรมคอมมิวนิสต์ในโซเวียตจนกลายเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ (งานชิ้นสำคัญของออร์เวลล์อย่าง Animal Farm และ 1984 ก็มุ่งวิพากษ์การปกครองของสตาลิน) ออร์เวลล์จึงรู้สึกข้องใจกับการมาทัวร์ของสโมสรจากโซเวียตมาก โดยเฉพาะที่ตอนนั้นดินาโม มอสโคว์ถูกควบคุมโดยลัฟเรนตีย์ เบรียา (Lavrentiy Beria) ผู้ดูแลตำรวจลับและกิจกรรมด้านมืดทั้งหลายของระบอบสตาลิน

แม้จะดูเหมือนว่าการเขียนถึงด้านลบของกีฬาจะมีแรงขับมาจากความไม่เห็นด้วยกับระบอบสตาลิน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ไอเดียที่ออร์เวลล์เสนอไว้จะไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ก่อนหน้านั้นไม่นาน เมื่อปี 1936 นาซีก็ใช้โอลิมปิกที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพในการโชว์ศักยภาพและกระตุ้นความเป็นชาตินิยมอย่างชัดเจน (ซึ่งสำหรับออร์เวลล์แล้ว ต้นเหตุสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สองก็มาจากชาตินิยมเนี่ยแหละ) กระทั่งในช่วงสงครามเย็น โซเวียตกับอเมริกาก็ใช้โอลิมปิกเป็นสมรภูมิจำลอง ผ่านการบอยคอตกันและกันมาแล้ว

​ ย้อนกลับมาที่ซีเกมส์ หากเรามองมันว่าเป็นสงครามจำลองอันหนึ่ง สงครามแห่งชาตินิยมสงครามที่ชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่งตัวแทนมาช่วงชิงความเกรียงไกร การงัดแทคติกต่างๆ มาสู้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งโดยเฉพาะกับเจ้าภาพที่สามารถออกแบบสมรภูมิรบให้ตนเองมีโอกาสชนะมากขึ้นได้

​ ถ้าย้อนดูสถิติซีเกมส์ 28 ครั้งที่ผ่านมา จะเห็นได้เลยว่านี่เป็นมหกรรมกีฬาเพื่อเจ้าภาพโดยแท้ เพราะจาก 28 ครั้งนั้น มีมากถึง 15 ครั้งที่ประเทศเจ้าภาพเป็นเจ้าเหรียญทอง เรียกว่าขอให้ได้เป็นเจ้าภาพเถอะ โอกาสครองตำแหน่งเจ้าเหรียญทองมีมากกว่าครึ่ง จะบอกว่าพอได้แข่งในบ้านก็เลยทำให้นักกีฬามีพลังฮึดเก่งขึ้นเป็นพิเศษ ก็ดูจะปิดตาข้างเดียวไปหน่อย

​ ซีเกมส์แต่ละครั้งนั้น เจ้าภาพมักจะงัดเอากลเม็ดเด็ดพรายหลากหลายมาสู้ทั้งในและนอกสนาม แทกติกยอดนิยมที่สุดต้องยกให้การเพิ่มกีฬาที่ตนเองเชี่ยวชาญเข้ามา ถ้าดูจำนวนชนิดกีฬาในซีเกมส์ 2017 จะเห็นได้ว่ามีมากถึง 38 ชนิดกีฬา มากกว่าโอลิมปิก 2016 ที่บราซิลซึ่งแข่งกันแค่ 28 ชนิดกีฬาเท่านั้น เรียกได้ว่าซีเกมส์ที่แข่งกันเฉพาะชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ มีกีฬาหลากหลายกว่าโอลิมปิกที่แข่งกันแทบทั้งโลกเสียอีก (แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่กว่าแน่ๆ)

แล้วความแตกต่างระหว่างซีเกมส์กับโอลิมปิกมันอยู่ตรงไหน เพราะอะไรการชิงชัยในโอลิมปิกถึงดูตรงไปตรงมากว่าซีเกมส์มากนัก เราอาจทำความเข้าใจมันได้ผ่าน 2-3 มุมมอง

​ มุมมองแรกว่าด้วยเศรษฐกิจ เนื่องจากมหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิกนั้น ไม่ใช่แค่การแข่งขันเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของชาติโดดๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีวงเงินหมุนเวียนมหาศาล คุณภาพการแข่งขันจึงเป็นสิ่งจำเป็น จะยอมให้มีการแทรกแซงด้วยเหตุผลอื่นไม่ได้ ต่างกับซีเกมส์ที่เป็นการแข่งขันระดับภูมิภาค ไม่มีวงเงินหมุนเวียนมากขนาดนั้น (หรือพูดอีกแบบให้ดาร์กๆ ไม่ต่างกันก็ได้ว่า โอลิมปิกนั้นรับใช้ทุน ขณะที่ซีเกมส์รับใช้รัฐ)

​ มุมมองที่สองว่าด้วยมิติทางสังคมวัฒนธรรม หากพิจารณาการแข่งขันกีฬาระหว่างชาติในฐานะสงครามจำลอง วิธีคิดที่ว่าสงครามเป็นวิธีการที่ผู้ปกครองดินแดนหนึ่งใช้ประกาศศักดาเหนือผู้ปกครองดินแดนอื่นๆ น่าจะยังมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่อง ‘การรักษาหน้า’ และยิ่ง ‘หน้า’ ที่ว่านั้นเกี่ยวพันกับกระแสชาตินิยม การแพ้ในดินแดนตัวเองจึงเป็นอะไรที่ยอมกันได้ยาก
​ มุมมองที่สามเป็นการพยายามมองให้แฟร์กับซีเกมส์เสียหน่อย เพราะเอาเข้าจริงแล้วสถานะของมันคือการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาคซึ่งพันธกิจหนึ่งคือการพยายามโปรโมตกีฬาพื้นบ้านของภูมิภาคให้เป็นที่รู้จัก ก้าวสู่การเป็นกีฬาสากลและบรรจุในโอลิมปิก [ii] จึงไม่แปลกอะไรที่ซีเกมส์จะเต็มไปด้วยกีฬาพื้นบ้าน (แต่ถ้าเป็นพื้นบ้านที่ครอบคลุมทั้งภูมิภาคหน่อยก็คงดีกว่านี้)

​ จะว่าไปแล้วซีเกมส์ก็คงแค่ ‘ดูเหมือน’ โกง ซึ่งหมายความว่าไม่ได้เป็นซีโกงจริงๆ เพราะเอาเข้าจริงแล้วกีฬาไหนๆ ก็ล้วนแต่มีการต่อสู้แย่งชิงรับใช้ทุนหรือรับใช้รัฐกันทั้งนั้น มันไม่ได้ใสๆ ซื่อๆ ไปเสียทั้งหมด และถ้าคิดว่ามันเป็นสงครามอย่างหนึ่งแล้ว เจ้าของสนามรบย่อมต้องสร้างสถานการณ์ที่ตนเองได้เปรียบอยู่เสมอ อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้มันไม่มีการยิงกันอย่างที่ออร์เวลล์ว่าไว้ ก็คงจะพอรับได้อยู่บ้าง

 

ดูเพิ่มเติมได้ที่
The Sporting Spirit www.orwell.ru/library/articles/spirit/english/e_spirit
‘War Minus the Shooting’: George Orwell on International Sport and the Olympics www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/17460263.2012.761150
ชุมชนจินตกรรม: บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยมwww.openbase.in.th/files/tbpj042.pdf
ซีเกมส์ยิ่งแข่งขันยิ่งแตกแยก?themomentum.co/sea-games

Fact Box

  • [i] นอกจาก 'The Sporting Spirit' แล้ว ออร์เวลล์ยังเคยเขียนพาดพิงถึงกีฬาสอดแทรกในงานชิ้นอื่นๆอยู่บ้างซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นในทางที่ไม่ดีนักไม่ว่าจะเป็นใน1984ที่พูดถึงฟุตบอล (พร้อมๆกับเบียร์หนังและการพนัน) ว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มอมเมาให้ประชาชนไม่ลุกขึ้นสู้หรือในเรื่องสั้นShooting the Elephant ที่เล่าถึงการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่อาณานิคมกับประชาชนที่สนามฟุตบอลในพม่า (ซึ่งน่าจะเป็นประสบการณ์ตรงจากที่ออร์เวลล์เคยไปทำงานที่นั่นมาระยะหนึ่ง)
  •  [ii] ผลผลิตที่สำคัญอันหนึ่งของซีเกมส์ก็คือเซปักตะกร้อ กีฬาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่มกำหนดกติกาขึ้นมาเพื่อแข่งในซีเกมส์โดยเฉพาะ และตอนนี้ก็ก้าวไปถึงระดับเอเชียนเกมส์แล้ว
Tags: , , , , ,