เขาควายในที่นี้ไม่ใช่เขาควายจริงๆ แต่หมายถึง ‘ปัญหาเขาควาย’ หรือ Dilemma คือเป็นเรื่องเดียวกัน แต่กลับย้อนมา ‘ขวิด’ หรือขัดแย้งกันเองเสมอ

หลายคนอาจมองว่า คนยุควิกตอเรียนนั้นเคร่งครัดเรื่องเพศและศีลธรรมทางเพศกันมาก แต่เอาเข้าจริงแล้ว ความเคร่งครัดเรื่องเพศ กลับมีอะไรที่ ‘ขัดแย้ง’ กันเหมือนเขาควายที่งอกมาทิ่มแทงกันเองอยู่บนหัวของควาย ทำให้ฟังดูแล้วอาจรู้สึกประหลาด ขบขัน หรือถึงขั้นมหัศจรรย์ใจก็เป็นได้

เลยอยากลองยกบางเรื่องมาให้คุณดู ว่าความประหลาดทำนองนี้ยังตกทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันหรือเปล่า และถ้ามี – มันมีเรื่องอะไรบ้าง

 

1. ผู้หญิงยุควิกตอเรียนถูกข่มขืนไม่ได้

อ๊ะ! ฟังดูดีนะครับ ถูกข่มขืนไม่ได้ นี่แปลว่าผู้ชายยุคนั้นมีศีลธรรมอันดีใช่ไหม

ส่วนหนึ่งก็อาจจะใช่ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็มี ‘ความเชื่อ’ ด้วยว่า ผู้หญิงดีๆ นั้น ถูกข่มขืนไม่ได้หรอก เพราะว่าอวัยวะเพศของผู้หญิงเป็น ‘ระบบปิด’ ถ้าผู้หญิงไม่ยอมเปิดมันออกมา ผู้ชายก็ไม่มีทางข่มขืนผู้หญิงได้

ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่แค่ ‘ความเชื่อ’ แบบบ้านๆ นะครับ แต่มีนักสรีรวิทยาในศตวรรษที่ 19 ออกมายืนยันกันเลยทีเดียว เป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาชาวฝรั่งเศส (ก็แปลกอยู่เหมือนกันนะครับ ที่เรื่องนี้คนอังกฤษยุควิกตอเรียนเชื่อองค์ความรู้จากคนฝรั่งเศสด้วย) ชื่อ ยูจีน เบคลาร์ด (Eugene Becklard) เขาเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง เล่าถึงเรื่องเพศและความสัมพันธ์ โดยบรรยายอวัยวะเพศหญิงไว้อย่างพิสดาร เขาบอกว่า ปากมดลูกนั้นมีลักษณะพิเศษ คือมันจะแคบ แคบอย่างมาก แคบจนเอาเครื่องไม้เครื่องมืออะไรสอดเข้าไปแทบไม่ได้เลย

 

มีความเชื่อว่า ผู้หญิงดีๆ นั้น ถูกข่มขืนไม่ได้หรอก เพราะว่าอวัยวะเพศของผู้หญิงเป็น ‘ระบบปิด’ ถ้าผู้หญิงไม่ยอมเปิดมันออกมา ผู้ชายก็ไม่มีทางข่มขืนผู้หญิงได้

 

แต่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้ามดลูกนั้นมีความกระหายใคร่อยากทางเพศ มันก็จะ ‘หายใจ’ (เขาใช้คำว่า inhale) แล้ว ‘ดูด’ เอาวัตถุที่ต้องการเข้าไป เขาก็เลยสรุปว่า ถ้าเป็นการ ‘ข่มขืน’ จริงๆ คือผู้หญิงไม่ยอมจริงๆ มดลูกก็จะไม่มีวันต้อนรับอวัยวะเพศชายแปลกหน้านั้นเข้าไป ดังนั้นถ้าเกิดการข่มขืนขึ้นมา คือสอดใส่เข้าไปได้ ก็แปลว่าผู้หญิงสมยอมเสมอ เพราะอวัยวะเพศหญิงจะทำหน้าที่ ‘ดูด’ มันเข้าไป ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เรียกว่า legitimate rape หรือการข่มขืนตามกฎหมาย – จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ผู้หญิงจึงถูกข่มขืนไม่ได้

โอ้โห! มหัศจรรย์ไหมล่ะครับ!

 

2. โสเภณีเป็นเรื่องโอเค เป็นเกย์ผิดกฎหมาย แต่เป็นเลสเบียนได้ไม่เป็นไร

โอ๊ย! งง

คุณอาจไม่รู้ก็ได้นะครับ ว่าการเป็นโสเภณีในยุควิกตอเรียนนั้น แม้ปากของสังคมจะบอกว่าไม่ชอบ ไม่ดีไม่งาม แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับเป็น ‘อาชีพ’ ที่ทั้งสังคมโอเค ยอมรับได้ เขาบอกว่า เฉพาะในลอนดอนยุควิกตอเรียน (คือปี 1857) มีโสเภณีอยู่ราว 9,000 คน

เดิมที เหล่าโสเภณีทำงานอยู่ในซ่อง (หรือ Brothel) ต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วลอนดอน แต่ในยุควิกตอเรียที่ครัดเคร่งศีลธรรม เกิดมีการรณรงค์ให้ปิดซ่องเหล่านี้ให้หมด ผลลัพธ์ก็คือ โสเภณีต้องออกมาอยู่ข้างถนน ทำให้เกิดสุขภาวะที่ย่ำแย่ ดังนั้น ทางการเลยต้องออกมา ‘ตรวจสุขภาพ’ ผู้หญิงเหล่านี้ พร้อมกับฝึกอาชีพอื่นๆ ให้ด้วย จึงทำให้รู้ว่าตัวเลขของโสเภณีในลอนดอนมีมากแค่ไหน และแม้จะมีการรณรงค์ปิดซ่อง แต่การทำอาชีพนี้ก็ยังคงอยู่และไม่หายไปง่ายๆ เพราะยังมีลูกค้ามาใช้บริการอยู่ดี

แม้การเป็นโสเภณีจะยอมรับได้ (ถึงระดับมีการตรวจสุขภาพให้) แต่การเป็นเกย์ในสังคมวิกตอเรียกลับรับไม่ได้ อย่างที่เราเห็นในกรณีของ ออสการ์ ไวลด์ และกรณีอื่นๆ อีกมาก แต่การเป็นเลสเบียน หรือการที่ผู้หญิงกับผู้หญิงจะอยู่ร่วมบ้านกันได้นั้น กลับเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ (อย่างที่เคยเขียนไว้ในคอลัมน์นี้เมื่อไม่นานมานี้)

ดังนั้น การมองเรื่องเพศของชาววิกตอเรียนจึงลักลั่นย้อนแย้งตะแคงไปมาอย่างน่าประหลาด!

 

3. ผู้หญิงวิกตอเรียนควรมีลูกเยอะๆ แต่ไม่ควรมีเซ็กซ์

เอ๊ะ! ยังไงกัน

คืออย่างนี้ครับ ในยุควิกตอเรียน ‘ความเป็นแม่’ คือสิ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนกันมาว่า คือเป้าหมายสูงสุดของการเป็นผู้หญิง ดังนั้น ผู้หญิงก็ควรทำหน้าที่ผลิตลูกให้ผู้ชาย แต่คำถามก็คือ ถ้าจะผลิตลูก ก็ต้องมีเซ็กซ์ก่อนไม่ใช่หรือ

ใช่ครับ และเพราะดังนั้น เซ็กซ์จึงควรเป็นไปเพื่อเป้าหมายเดียวเท่านั้น – คือการมีลูก

ชาววิกตอเรียนเชื่อว่า ผู้ชายหมกมุ่นเรื่องเพศตามธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้หญิงจึงต้องทำหน้าที่รองรับความต้องการทางเพศให้ผู้ชาย แต่ผู้ชายต้องทำเฉพาะกับผู้หญิงที่เป็น ‘เมีย’ เท่านั้นนะครับ แล้วที่สำคัญก็คือ เวลามีเซ็กซ์ ผู้หญิงต้องมีด้วย ‘สัญชาตญาณความเป็นแม่’ คือมีเพื่อเป็นหน้าที่ เพื่อให้ตัวเองตั้งครรภ์เท่านั้น ไม่ใช่มีเซ็กซ์เพราะอยากสนุกสนานสำราญบานใจ

 

รูธ สไมเธอร์ส แนะนำเหล่าภรรยาเอาไว้ว่า เวลาจะมอบเซ็กซ์ให้สามี ควรจะมอบให้เพียงเล็กน้อย ไม่บ่อยครั้ง อย่าให้ถี่นัก

 

นักเขียนยุควิกตอเรียอย่าง รูธ สไมเธอร์ส (Ruth Smythers) แนะนำเหล่าภรรยาเอาไว้ว่า เวลาจะมอบเซ็กซ์ให้สามี ควรจะมอบให้เพียงเล็กน้อย ไม่บ่อยครั้ง อย่าให้ถี่นัก และควรเป็นไปแบบกัดฟันอดทนทำ ไม่อย่างนั้น ‘การแต่งงานที่ถูกต้องเหมาะสม’ ก็จะกลายเป็น Orgy (เซ็กซ์หมู่) ของ Sexual Lust (ตัณหาทางเพศ)

ผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศจึงถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่ผิดบาป วิธีหนึ่งที่บำบัดรักษากันก็คือการทำ Clitoridectomy ก็คือการ ‘ขริบ’ คลิตอริสออก หรือในบางรายก็อาจเอาเตารีดร้อนๆ มานาบคลิตอริส เพื่อลดความต้องการทางเพศ เพื่อให้การมีเซ็กซ์เหลือแค่เป็น ‘หน้าที่’ ในการผลิตลูกเท่านั้น

อย่างนี้ไม่เรียกว่ามหัศจรรย์แล้วจะให้เรียกว่าอะไร

 

4. เรื่องเซ็กซ์กับเด็กๆ

เรื่องนี้ก็ตลกดีนะครับ เพราะว่าในด้านหนึ่ง มีการอบรมสั่งสอนเด็กๆ ว่าการแตะต้องตัวเอง (คือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง) เป็นบาปผิด ไม่ควรทำเป็นอันขาด

คนหนึ่งที่โด่งดังมากในการสอนเรื่องนี้ก็คือ จอห์น ฮาร์วีย์ เคลล็อก (John Harvey Kellogg) ซึ่งคือต้นตำรับอาหารเช้าซีเรียลที่เรารู้จักกันอยู่ทุกวันนี้แหละครับ ถึงแม้เขาจะเป็นคนอเมริกัน แต่ว่าสมาทานวิธีคิดแบบวิกตอเรียนมาเต็มตัวเลยครับ เคลล็อกมีความชิงชังรังเกียจ ‘โรคระบาดชักว่าว’ (Masturbation Epidemic) ที่แพร่ไปในหมู่เด็กวัยรุ่นเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดว่ามันจะทำให้สุขภาพของเด็กเสีย ก็เลยออกกฎมาเพื่อไม่ให้ ‘ปีศาจของการอยู่ลำพัง’ (Solitary Vice) มาทำร้ายเด็กๆ โดยมีกฎคือ

  • ให้กินอาหารน้อยๆ มีแคลอรีต่ำๆ แล้วก็ไม่ต้องกินเนื้อ (กินธัญพืชอาหารเช้าแทน!)
  • ออกกำลังกายอย่างหนัก
  • เอาโยเกิร์ตสวนล้างทวารบ่อยๆ
  • ขริบอวัยวะเพศ ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง
  • เอาที่ครอบไฟฟ้ามาครอบอวัยวะเพศไว้ เวลาจะแตะต้องก็จะเกิดไฟช็อต

ฟังดูเคร่งครัดอย่างมากใช่ไหมครับ แต่ในยุคสมัยเดียวกัน ชายอีกคนหนึ่งซึ่งแลดูเคร่งครัดและเป็น ‘ต้นแบบ’ ของศีลธรรมแบบวิกตอเรียน แถมเป็นนักเขียนชื่อดังด้วย คือลิวอิส แครอล (Lewis Carroll) ซึ่งเป็นพระในนิกายแองกลิกัน และเป็นผู้เขียน อลิซในแดนมหัศจรรย์ เขาเขียนเรื่องอลิซขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเด็กหญิงคนหนึ่ง ชื่อ อลิซ ลิดเดล (Alice Liddell)

แค่เขียนโดยมีเด็กผู้หญิงเป็นแรงบันดาลใจก็ไม่เห็นเป็นไรเลย – หลายคนอาจจะบอกอย่างนั้น ก็ใช่ครับ ไม่เป็นไรแน่ๆ ถ้าจะแค่เขียนถึง แต่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ลิวอิสเป็นนักวาดภาพและถ่ายภาพด้วย เขาก็เลยให้เด็กหญิงวัยหกขวบอย่าง อลิซ ลิดเดล มาเป็นแบบ ซึ่งถ้าเป็นแบบทั่วไปก็คงไม่กระไรนักหรอกนะครับ แต่ถ้าเราดูภาพของอลิซที่ลิวอิสวาดและถ่าย เราจะพบว่ามันก็แปลกๆ อยู่ เพราะมีทั้งภาพที่อลิซนั่งเปลือยกาย ใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นแลดูเซ็กซี รวมไปถึงภาพที่เขาให้อลิซกับเด็กหญิงอีกคนหนึ่งจูบกันด้วย

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยครอบครัวและพ่อแม่ของเด็กหญิงอลิซอนุญาตและเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะเห็นว่าลิวอิสเป็นคนที่น่านับถือ เป็นผู้มีศีลธรรมครัดเคร่ง ย่อมไม่ทำอะไรที่บกพร่องด่างพร้อยเป็นแน่

โอ้ – พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก!

 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัตรปฏิวัติทางเพศของคนในยุควิกตอเรียน ที่หลายคนอาจรู้สึกว่ามันย้อนแย้งน่าสับสนงงงวยเป็นที่ยิ่ง

แต่จะว่าไป – หลายเรื่องก็ดูเหมือนจะสืบเนื่องถ่ายทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันอยู่เหมือนกันนะครับ!

 

Tags: , , , , , , , , , , , , , ,