ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) มีมติรับรองให้วันที่ 25 พฤศจิกายนเป็น ‘วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล’ (International Day for the Elimination of Violence against Women) เนื่องจากเหตุการณ์ลอบสังหาร 3 สาวชาวโดมินิกัน ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในยุคเผด็จการ จนทำให้เกิดการเรียกร้องความยุติธรรมต่อผู้หญิ

แม้วันที่ 25 เป็นวันรณรงค์ แต่ความรุนแรงก็ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล เป็นวันที่ถูกรองรับให้สร้างความตระหนักรู้ ถึงปัญหาความรุนแรงในผู้หญิงและเด็ก เนื่องจากเป็นปัญหาเรื้อรังที่หยั่งรากลึกในสังคม จากระบบความรุนแรง (Systemic Violence) เพราะค่านิยม กฎหมาย หรือแม้แต่ศาสนา

เมื่อปีที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงต่อผู้หญิง พบว่าผู้หญิงทั่วโลกร้อยละ 30 เคยประสบความรุนแรงทางกายหรือทางเพศจากคนใกล้ชิด ซึ่งอัตราดังกล่าวมีความคงที่มาหลายปี สะท้อนนัยสำคัญถึงความรุนแรงต่อผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาต่อปัจเจก แต่เป็นรูปแบบความสัมพันธ์อำนาจทางเพศที่ถูกผลิตซ้ำในสังคม 

การผลิตซ้ำความสัมพันธ์อำนาจทางเพศ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากความสัมพันธ์ แต่เกิดจากสิ่งอื่นๆ ได้เช่นกัน ทั้งกลไกทางสังคม เศรษฐกิจ นโยบาย วัฒนธรรม และกฎหมาย ที่นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางเพศ ซึ่งทำให้เกิดความรุนแรงแบบฝังรากลึก (Embedded) สู่ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence) จนกลายเป็นความไม่เท่าเทียมทางสังคม ซึ่งแผ่ขยายและแทรกตัวอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปถึงระดับสังคม

ค่านิยมทางเพศ (Gender Norms) ก็เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อเลี้ยงกลไกความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เนื่องจากค่านิยมทางเพศเป็นเหมือนบรรทัดฐานทางสังคม ที่ยอมรับรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน ในมิติใดมิติหนึ่ง ซึ่งมักพบในลักษณะของระบบเพศแบบ 2 ขั้ว (Gender Binary Opposition) หรือการจัดระเบียบสังคมให้มีเพียง 2 เพศ คือชายและหญิง ที่นำไปสู่บทบาททางสังคมที่แตกต่างกัน

เมื่อบทบาททางเพศของหญิงและชายต่างกัน ก็นำไปสู่อำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน เป็นผลมาจากค่านิยามทางเพศที่สังคมให้อำนาจกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ดังนั้นเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจ จึงนำไปสู่ ‘ระบบปิตาธิปไตย’ (Patriarchy) หรือระบบสังคมที่ผู้ชายเป็นศูนย์กลาง และมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงในด้านต่างๆ จนส่งผลให้ผู้ชายมีบทบาทหรืออำนาจในการตัดสินใจมากกว่า และทำให้เกิดการผลิตซ้ำอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน

แม้ความรุนแรงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่กลับเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและแนบเนียน ผ่านความเป็นปกติที่สังคมสร้างขึ้น หรือความรุนแรงที่ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ (Normalization of Violence) เช่น การทุบตีเพราะเหตุหึงหวง และการล่วงละเมิดทางวาจาที่แสร้งเป็นมุกตลก หรือแม้แต่การโทษผู้รอดชีวิต (Victim Blaming) ในเหตุการล่วงละเมิดทางเพศ ด้วยเหตุจากการแต่งกายหรือสาเหตุอื่นๆ ซึ่งทำให้มองว่าความรุนแรงต่างๆ ไม่เป็นปัญหา อีกทั้งยังทำให้ผู้หญิงหรือผู้รอดชีวิตจากเหตุอาชญากรรมทางเพศไม่กล้าออกมาพูด ทั้งหมดล้วนเป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม (Cultural Violance) ที่ทำหน้าที่รองรับระบบปิตาธิปไตยให้ความรุนแรงเกิดขึ้น และรองรับการเกิดขึ้นว่าสามารถเกิดได้

หนึ่งในรูปแบบความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบันคือ การล่วงละเมิดทางเพศเชิงดิจิทัล หรือการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการล่วงละเมิดทางเพศ อย่างการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ในการสร้างสื่อสังเคราะห์ (Deepfake) หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘Deepfake Porn’ วิดีโอหรือภาพอนาจารปลอม ที่สร้างขึ้นโดยการสังเคราะห์ใบหน้า หรือร่างของบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอม

ในปัจจุบันที่สังคมมีการพัฒนาทางเทคโนโลยี โปรแกรม Deepfake สามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งพบว่าเป้าหมายกว่า 96% ของโปรแกรมดังกล่าวคือ ‘ผู้หญิงและเด็กหญิง’ ทั้งหมดล้วนเป็นความพยายามในการสังเคราะห์เนื้อหาอนาจาร ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างสื่อปลอม แต่เป็นการทำให้เกิดความอับอายและเสื่อมเสียชื่อเสียง (Humaliation & Repututation Damage) อันเป็นรูปแบบความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเหยื่อ และต่อสังคมเชิงลึกในระยะยาว แม้ในสังคมไทยอาจยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคดีดังกล่าว แต่ในประเทศใกล้เคียง อย่างเกาหลีใต้พบว่า มีคดีดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 227% และมักเกิดขึ้นกับบุคลากรในโรงเรียน ทั้งนักเรียนและคุณครูที่เป็นผู้หญิง

แม้โลกจะพัฒนา แต่ความรุนแรงไม่เคยหายไป ในทางกลับกันรูปแบบของความรุนแรงกลับยิ่งทวีคูณความซับซ้อนขึ้น จากบาดแผลที่มองเห็นได้บนร่างกาย หรือรับฟังได้จากจิตใจ กลายเป็นบาดแผลที่ซ่อนอยู่ภายใต้โค้ดและภาพปลอม ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้นเพียงเสี้ยววินาที

​​ดังนั้นวันที่ 25 พฤศจิกายนจึงไม่ใช่เพียงวันรำลึกถึงความสูญเสียในอดีตหรือวันเพื่อสร้างความตระหนักรู้ แต่เป็นการย้ำเตือนว่า หากโครงสร้างความไม่เท่าเทียมยังคงอยู่ ความรุนแรงก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงแค่เปลี่ยนฉาก บริบท และวิธีการ

การยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง อาจต้องรื้อถอนระบบที่คอยผลิตซ้ำอำนาจอันไม่เท่าเทียมในทุกมิติ แต่หากสังคมไม่ลุกขึ้นท้าทายความปกติปลอมๆ ความรุนแรง และความไม่เท่าเทียมทางเพศก็จะยังคงอยู่

ที่มา:  

UNESCO, OECD, and IDB (2022). The Effects of AI on the Working Lives of Women.

Will Hawkins, Chris Russell, and Brent Mittelstadt (2025). Deepfakes on Demand: the rise of accessible non-consensual deepfake image generators.

นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ. (2564). ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence) ในมิติมานุษยวิทยา. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.

https://genderlawjustice.org/under-deconstruction/confronting-the-rise-of-digital-violence

https://knowledge.unwomen.org/en/articles/facts-and-figures/facts-and-figures-ending-violence-against-women

https://www.thaipbs.or.th/news/content/345076

https://www.un.org/en/observances/ending-violence-against-women-day/background

Tags: , , , , ,