สายตาแทะโลม คำพูดลามก ข้อความส่อเสียดทางเพศ แม้ไม่ได้แตะตัว แต่กลับทำให้รู้สึกหวาดกลัวและไม่ปลอดภัย หลายคนไม่กล้าบอกใคร เพราะไม่แน่ใจว่ามันเข้าข่าย ‘การคุกคาม’ หรือไม่ คนรอบตัวมองว่าเป็นการหยอกล้อ หรือบางครั้งก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผู้ถูกกระทำ สิ่งเหล่านี้สร้างบาดแผลทางจิตใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างแท้จริง
เส้นแบ่งระหว่างการเกี้ยวพาราสีกับการละเมิดสิทธิช่างซับซ้อน การจ้องมอง คำพูดสองแง่สองง่าม หรือข้อความไม่พึงประสงค์ซ้ำๆ อาจดูเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผู้ถูกกระทำ สิ่งเหล่านี้คือภัยที่คุกคามความรู้สึก
ร่างกฎหมายคุกคามทางเพศฉบับใหม่จึงถูกเสนอ เพื่อขยายความหมายครอบคลุมทั้งคำพูด ท่าทาง และการสื่อสารออนไลน์ พร้อมเพิ่มพฤติกรรมตามรังควานเข้าไปด้วย แต่ก็มีเสียงคัดค้านว่า การตีความกว้างเกินไปอาจกระทบผู้ที่ไม่ได้มีเจตนาร้าย คำถามคือเส้นแบ่งระหว่าง ‘การหยอกเล่น’ กับ ‘การคุกคาม’ ควรอยู่ตรงไหน และกฎหมายไทยพร้อมปกป้องผู้ถูกกระทำได้จริงหรือไม่
การคุกคามทางเพศในไทยยังฝังรากลึก
การคุกคามทางเพศยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทย แม้จะมีการรณรงค์สร้างความตระหนักมากขึ้น แต่เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นแทบทุกที่ ไม่ว่าจะในที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย พื้นที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งบนโลกออนไลน์ รากเหง้าสำคัญมาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ที่ทำให้พฤติกรรมคุกคามถูกมองข้ามหรือถูกทำให้เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้ถูกตระหนักว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง
การสำรวจสถานการณ์ด้านการคุกคามทางเพศในสถานที่ทำงานจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปี 2567 ระบุว่า 6.3% ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยถูกคุกคามทางเพศ โดยในจำนวนนี้ 86.21% เผชิญกับ ‘สายตาแทะโลม’ มากกว่าครึ่งถูกคุกคามด้วยคำพูดถึงรูปร่างและสัดส่วน ขณะที่การถูกชักชวนทางเพศตรงๆ มีเพียง 2.88% เท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การคุกคามทางเพศไม่ได้จำกัดอยู่ที่การสัมผัสร่างกายเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรูปแบบที่แยบยลจนแทบมองไม่เห็น
นอกจากนี้ยังพบว่า 38.10% ของผู้ถูกกระทำเลือกที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ถึง 55.32% เลือกเพิกเฉย ความเงียบเหล่านี้ทำให้การคุกคามกลายเป็นเรื่องปกติ และฝังรากลึกในองค์กรหรือสังคม
แม้กฎหมายไทยจะมีบทลงโทษต่อผู้กระทำการคุกคาม แต่ในทางปฏิบัติยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ ทั้งในเรื่องนิยามของพฤติกรรมคุกคาม การบังคับใช้ รวมถึงการพิสูจน์หลักฐาน โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนตัวหรือบนโลกดิจิทัล ที่สำคัญคือยังขาดกลไกคุ้มครองเหยื่ออย่างจริงจัง ทำให้หลายคนเลือกที่จะเงียบมากกว่าก้าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ร่างกฎหมายคุกคามทางเพศใหม่
เมื่อ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา การประชุมวุฒิสภาหยิบยกร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานคุกคามทางเพศ เข้าสู่การอภิปราย หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบไปก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคม โดยสาระสำคัญของการแก้ไขคือ การขยายความหมายของคำว่า ‘คุกคามทางเพศ’ ให้ครอบคลุมมากขึ้น ไม่เพียงแต่การกระทำทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวาจา น้ำเสียง ท่าทาง ไปจนถึงการสื่อสารออนไลน์ที่มีลักษณะทางเพศ และก่อให้เกิดความอับอาย ความหวาดกลัว หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังเพิ่มพฤติกรรม Stalking หรือการตามรังควานเข้าไปด้วย
ที่ผ่านมานิยามคำว่า ‘คุกคามทางเพศ’ ในกฎหมายเดิมยังตีความไว้จำกัด ยังไม่ครอบคลุมพฤติกรรมที่ไม่ถึงขั้นอนาจารหรือกระทำชำเรา เช่น การแซวลามก ส่งข้อความส่อทางเพศ หรือการจ้องมองไม่เหมาะสม หลายกรณีผู้เสียหายแม้จะรู้สึกหวาดกลัวหรือไม่ปลอดภัยก็ไม่สามารถฟ้องร้องได้อย่างจริงจัง นอกจากนี้นิยามของ ‘การกระทำชำเรา’ ในกฎหมายปัจจุบันก็ยังจำกัดความไว้เฉพาะการใช้อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปาก ส่งผลให้กรณีที่ผู้กระทำใช้วัตถุ อวัยวะเพศที่เกิดจากการผ่าตัด และอวัยวะอื่นในการล่วงละเมิดกลับไม่เข้าข่าย ‘ข่มขืน’ แต่ถูกจัดเป็นเพียงคดีอนาจารซึ่งมีโทษเบากว่า
ระหว่างการประชุมวุฒิสภา เดชา นุตาลัย สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่า เนื้อหาของร่างฯ มีความหมายที่กว้างเกินไป และอาจถูกตีความจนสร้างความเสียหายแก่ผู้ที่ไม่ได้มีเจตนาร้าย ตัวอย่างเช่น การส่งเสียงหรือการเฝ้าดู อาจหมายรวมตั้งแต่การร้องเพลง การแซวเล่น ไปจนถึงการจีบตามปกติ ซึ่งเดชามองว่า เป็น ‘ธรรมชาติของมนุษย์’ ที่ไม่ควรถูกตีความเป็นการกระทำผิด และยังยกตัวอย่างจากเพลงรักหรือบทกวีที่มักใช้ถ้อยคำในเชิงเกี้ยวพาราสี หากตีความตามกฎหมายใหม่ ศิลปินอาจถูกฟ้องร้องได้โดยไม่เป็นธรรม อีกทั้งถ้อยคำในกฎหมายที่ใช้ว่า ‘จะคุกคาม’ ยังเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า ไม่ใช่การกระทำจริง ซึ่งอาจเปิดช่องให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์หรือฟ้องร้องเกินจริงได้
ทันทีที่ถ้อยแถลงของเดชาถูกเผยแพร่ออกมา ก็เกิดการวิพากษ์ถึงความไม่ละเอีอดอ่อนและล้าหลังในการเข้าใจการคุกคามทางเพศ หลายคนเห็นว่าเป็นมุมมองที่สะท้อนถึงการไม่เข้าใจประสบการณ์ของผู้ถูกคุกคาม และยิ่งซ้ำเติมวัฒนธรรมที่ทำให้ปัญหาการคุกคามทางเพศถูกลดทอนให้เล็กน้อย ทั้งที่ในความจริงแล้วมีผู้เสียหายจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ เนื่องจากนิยามทางกฎหมายที่แคบเกินไปในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเสียงคัดค้าน แต่ที่ประชุมวุฒิสภาก็ลงมติ ‘เห็นชอบด้วยเสียงข้างมาก’ ให้รับร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานคุกคามทางเพศไว้พิจารณาต่อในชั้นกรรมาธิการ โดยยังต้องผ่านการพิจารณาอีก 2 ครั้ง ก่อนจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
บทเรียนจากต่างประเทศ กฎหมายรับมือการคุกคาม
ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มขยับแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความผิดฐานคุกคามทางเพศ หลายประเทศทั่วโลกได้พัฒนากฎหมายและมาตรการที่ชัดเจนกว่าในการรับมือกับปัญหานี้
สหรัฐอเมริกาถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกรอบกฎหมายเข้มแข็ง โดย Title VII of the Civil Rights Act 1964 กำหนดให้การคุกคามทางเพศเป็นการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน องค์กรจึงมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกัน หากเพิกเฉย อาจถูกฟ้องร้องได้ กฎหมายยังให้น้ำหนักกับ ‘มุมมองของผู้ถูกกระทำ’ มากกว่าความตั้งใจของผู้กระทำ หมายความว่า การจ้องมอง คำพูด การแสดงท่าทาง หรือการสร้างบรรยากาศไม่พึงประสงค์ในที่ทำงานก็เพียงพอที่จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย แม้จะไม่ถึงขั้นมีการสัมผัสร่างกาย
สหภาพยุโรป (European Union) กำหนดมาตรการผ่าน EU Directive 2006/54/EC ให้นิยามการคุกคามทางเพศอย่างกว้าง ครอบคลุมทั้งคำพูด การกระทำ และท่าทางที่ส่งผลต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคล อีกทั้งยังบังคับให้นายจ้างต้องสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย หากละเลย ไม่เพียงถูกดำเนินคดีทางแพ่ง แต่ยังอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ด้วย
ในญี่ปุ่น แม้สังคมยังถูกวิจารณ์เรื่องความเหลื่อมล้ำทางเพศ แต่รัฐบาลก็ออกมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น โดยการแก้ไข Equal Employment Opportunity Law กำหนดให้องค์กรต้องป้องกันการคุกคามทั้งในที่ทำงานและในกระบวนการสมัครงาน หากละเลย อาจถูกปรับและถูกเปิดเผยชื่อเสียงเสียหายต่อสาธารณะ กฎหมายนี้บังคับให้บริษัทลงทุนกับการอบรมบุคลากร และสร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนที่จริงจัง
เส้นแบ่งระหว่างการเกี้ยวพาราสีกับการละเมิดสิทธิ
จะเห็นได้ว่าหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เมื่อมีการผลักดันกฎหมายคุกคามทางเพศคือ เส้นแบ่งระหว่าง ‘การเกี้ยวพาราสี’ ตามธรรมชาติของมนุษย์ กับ ’การกระทำที่ละเมิดสิทธิ’ ของผู้อื่น ซึ่งบางครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนิยามชัดเจน
ฝ่ายที่กังวลต่อกฎหมายมักมองว่า หากตีความกว้างเกินไป การแซว การชมเชย หรือแม้แต่การจีบตามปกติ อาจถูกจัดเข้าข่ายคุกคามทางเพศ และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องที่ไม่เป็นธรรม แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่ผ่านประสบการณ์การถูกคุกคามกลับชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่สังคมมักมองว่าเป็น ‘เรื่องเล็กน้อย’ เช่น การจ้องมองด้วยสายตาลามก การพูดจาสองแง่สองง่าม หรือการส่งข้อความไม่พึงประสงค์ซ้ำๆ ล้วนสร้างบาดแผลทางจิตใจ และทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่ทำให้เส้นแบ่งนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นคือ มุมมองของผู้ถูกกระทำ เพราะการเกี้ยวพาราสีจะถือว่าเป็น ‘ศิลปะ’ ก็ต่อเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายรู้สึกสบายใจ แต่หากอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอม หรือรู้สึกถูกกดดันและหวาดกลัว สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความโรแมนติก หากแต่เป็นการละเมิดสิทธิอย่างชัดเจน
ในต่างประเทศ กฎหมายจำนวนมากจึงเลือกใช้เกณฑ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง แทนที่จะพิจารณาจากเจตนาของผู้กระทำ เช่น ในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป หากการพูดหรือการกระทำใดทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกศักดิ์ศรีถูกละเมิด ก็ถือว่าเข้าข่ายคุกคาม ไม่ว่าผู้กระทำจะอ้างว่าต้องการหยอกล้อก็ตาม
อ้างอิง:
https://www.amarintv.com/spotlight/sustainability/522893
https://www.coe.int/en/web/gender-matters/harassment-and-sexual-harassment
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1232244285368581&set=a.719340903325591&type=3
https://www.law.cornell.edu/cfr/text/29/1604.11
https://www.thaihealth.or.th/stop-sexual-harassment-สร้างสังคมปลอดการคุ/
https://web.parliament.go.th/section77/manage/files/file_20240220181104_1_352.pdf
Tags: Sexual Harassment, คุกคามทางเพศ, การคุกคาม, การละเมิดสิทธิ