อีกไม่กี่อึดใจ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักมวยหญิงไทยจะได้ปะทะกับ อิมาน เคลิฟ (Imane Khelif) จากแอลจีเรียในรอบรองชนะเลิศ วันที่ 7 สิงหาคมนี้ เวลา 03.34 น. ตามเวลาประเทศไทย
เคลิฟประสบกับดรามาทางโซเชียลมีเดียมากมายในอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจาก แอนเจลา คารินิ (Angela Carini) นักมวยชาวอิตาเลียน ขอถอนตัวจากการแข่งขันเพียง 46 วินาทีแรก เพราะทนแรงหมัดของเคลิฟไม่ไหว เคลิฟเคยถูกแบนจากการแข่งขันมาก่อนด้วยเหตุผลว่า เธอมีระดับฮอร์โมนเพศชายสูง และมีคุณสมบัติทางเพศของทั้งเพศชายและหญิง (Intersex) ในโซเชียลฯ เคลิฟถูกกล่าวหาจากคนทั่วโลกว่า เป็นคนข้ามเพศที่แท้จริง เป็นผู้ชายมาชกกับผู้หญิงและถือว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง
แต่ตามที่ผู้แทนคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee: IOC) ได้กล่าวว่า เคลิฟเกิดมาเป็นเพศหญิง โตมาเป็นผู้หญิง และแข่งชกมวยในฐานะผู้หญิงมาตลอด มีเพียงโครโมโซมของเธอที่เป็น XY ระดับเทสโตสเตอโรน (Testosterone) ที่สูง และรูปร่างที่หลายคนคิดว่า ‘เหมือนผู้ชาย’ จนเกินไป
เราควรเริ่มสังเกตได้แล้วว่า การตรวจตรา (Policing) ของเพศสภาพและร่างกายของนักกีฬาไม่ได้เป็นเรื่องตรงไปตรงมาที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์วัดได้อย่างง่ายดาย แท้จริงแล้วมาตรฐานการวัดเพศเกี่ยวข้องกับพลัง ค่านิยมจากยุคล่าอาณานิคม และการตีตราว่าคนกลุ่มหนึ่ง ‘ปกติ’ หรือ ‘ผิดปกติ’ ต่างหาก
ตั้งแต่นักวิ่งจนถึงนักมวย นักกีฬาหญิงหลายคนเคยเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกบังคับให้ตรวจคุณสมบัติทางเพศ บ่อยครั้งผู้ต้องสงสัยเหล่านี้มักเป็นผู้หญิงผิวสี โดยเฉพาะในการแข่งขันที่พวกเธอเอาชนะคู่แข่งผิวขาว เคลิฟเป็นเพียงคนหนึ่งจากหลายสิบนักกีฬาหญิงผิวสีที่ถูกกล่าวหาว่า ‘ไม่ได้เป็นผู้หญิงแท้จริง’
ในโอลิมปิก 2020 นักวิ่งหญิงแอฟริกันถึง 7 คนถูกแบนจากการแข่งขันวิ่ง 400 เมตรและ 800 เมตร เพราะระดับเทสโตสเตอโรนสูงกว่าเกณฑ์ และอาจทำให้พวกเธอได้เปรียบในการแข่งขัน
หนึ่งในนั้นก็คือ แคสเตอร์ เซเมนยา (Caster Semenya) นักวิ่งชื่อดังจากประเทศแอฟริกาใต้ ที่ถูกกล่าวหาว่า เธอเป็นผู้ชาย เพราะเสียงต่ำ ไหล่กว้าง และร่างกายล่ำ จนต้องถูกตรวจคุณสมบัติทางเพศและพบว่า มีระดับฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนสูงผิดปกติ ทำให้เธอจำเป็นต้องใช้ยาลดระดับฮอร์โมนเพื่อที่จะแข่งต่อได้
เซเมนยาเคยกล่าวว่า “ฉันเป็นคนแอฟริกันและฉันเป็นผู้หญิง แปลว่าฉันเป็นผู้หญิงอีกประเภทหนึ่ง”
โดยเฉลี่ยผู้หญิงแอฟริกันมีระดับเทสโตสเตอโรนสูงกว่าผู้หญิงทวีปอื่น และมักถูกกล่าวหาว่า มีรูปร่างคล้ายผู้ชายจน ‘ผิดปกติ’ ในทางเดียวกับที่คนสแกนดิเนเวียมักสูงกว่าคนอื่น หรือการที่นักว่ายน้ำ ไมเคิล เฟลปส์ (Michael Phelps) สามารถบรรจุออกซิเจนในปอดได้ 2 เท่าของคนธรรมดา ความแตกต่างทางร่างกายเหล่านี้ล้วนช่วยให้นักกีฬาได้เปรียบในการแข่งขัน แต่ทำไมผู้หญิงผิวสีเป็นกลุ่มเดียวที่ถูกตรวจตราและควบคุมร่างกายอย่างเคร่งครัด
แท้จริงแล้วมาตรฐานความ ‘ปกติ’ และ ‘ผิดปกติ’ ทางเพศ เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ยุโรปเป็นใหญ่มากกว่าที่เราคิด
แพทริเซีย ฮิลล์ คอลลินส์ (Patricia Hill Collins) นักวิชาการ กล่าวว่า มาตรฐานที่ใช้กำหนดความปกติทางเพศมาจากสมัยล่าอาณานิคมของยุโรป ด้วยการตีตราว่าผู้หญิงสีผิวเป็น ‘ตัวประหลาด’ ‘ผิดปกติ’ และ ‘ไม่ใช่ผู้หญิงแท้จริงเหมือนผู้หญิงยุโรป’ เพราะฉะนั้นมาตรฐานของความเป็นผู้หญิงคือ การเปรียบเทียบรูปร่างและลักษณะของผู้หญิงสีผิวกับผู้หญิงยุโรป ที่โดยเฉลี่ยมักตัวเล็กและเสียงสูงกว่า
หรือว่านักกีฬาที่ถูกตรวจสอบ แบน และบังคับให้ปรับร่างกาย มีเพียงแค่เป็นผู้หญิงผิวสีในวงการที่ถูกสร้างมาเพื่อคนผิวขาว ด้วยมาตรฐานของคนผิวขาวเท่านั้น และขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า เรื่องเพศจะมีความผูกพันอย่างยิ่งกับระบบอำนาจและการแบ่งแยกมนุษย์ ระหว่างคน ‘ปกติ’ ที่มีคุณค่ามากกว่า กับคน ‘ผิดปกติ’ ที่มีคุณค่าน้อยกว่า
แล้วกฎเกณฑ์ที่เราใช้ในการวัดเพศ รวมไปถึงเพศที่มีอยู่ มาจากอะไร ทำไมเราถึงใช้ระดับเทสโทสเตอโรนและโครโมโซมเป็นตัวกำหนดเพศ และทำไมเพศถึงมีแค่ ‘หญิง’ ไม่ก็ ‘ชาย’

ภาพ: Scientific American
ในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) นอกจากเพศหญิงแล้ว ยังมีเพศ ‘ชายผู้ใหญ่’ และ ‘เด็กชาย’ ที่กำหนดจากหน้าตาและการมีหนวด ในบางยุคหรือในบางมุมโลก มีปัจจัยกำหนดเพศคืออวัยวะเพศ ส่วนบางยุคดูที่โครโมโซม
จากภาพอินโฟกราฟิกของนิตยสาร Scientific American การกำหนดเพศมีหลายปัจจัย รวมถึงยีน โครโมโซม ฮอร์โมน อวัยวะเพศภายในและภายนอก ขน หนวด หน้าอก ประจำเดือน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดการเติบโตของคนคนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สามารถกำหนดเพศได้อย่างแน่นอนและ นอกจากนี้เพศไม่ได้มีเพียงแค่ ‘หญิง’ หรือ ‘ชาย’ แต่เป็นสเปกตรัมมากกว่า คนหลายคนอาจไม่ได้มีคุณสมบัติตรงกับเพศใดเพศหนึ่ง แต่อาจอยู่ระหว่าง ‘ชาย’ กับ ‘หญิง’ ต่างหาก
ตกลงคำว่า ‘ผู้หญิงแท้จริง’ แปลว่าอะไรกันแน่ และถ้าคำนิยามว่า ผู้หญิงนั้นเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดทุกยุคทุกสมัย เราจะแน่นอนได้อย่างไรว่า ‘ผู้หญิงแท้จริง’ สำหรับเราในวันนี้จะยังคงเป็น ‘ผู้หญิงแท้จริง’ ในวันข้างหน้า
หรือว่า คำนิยามเพศหญิงและชายล้าสมัย (Obsolete) ไปแล้ว ในเมื่อเพศเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เราอาจต้องคิดกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะรับมือกับหลากหลายมิติของคำว่าเพศให้ได้
อ้างอิง
– Hill Collins, P. (1986) ‘Learning from the outsider within: The sociological significance of Black Feminist thought’, Social Problems, 33(6), pp. S14–S32. doi:10.2307/800672.
– Nyong’o, T. (2010) ‘The Unforgivable Transgression of Being Caster Semenya’, Women & Performance: a Journal of Feminist Theory, 20(1), pp. 95–100. doi:10.1080/07407701003589501.
– https://www.bbc.com/news/world-africa-57748135
– https://www.biography.com/athletes/michael-phelp-perfect-body-swimming
– https://www.scientificamerican.com/blog/sa-visual/visualizing-sex-as-a-spectrum/
– https://aeon.co/ideas/what-ottoman-erotica-teaches-us-about-sexual-pluralism
– https://viking.style/why-are-scandinavians-so-tall/
– https://themomentum.co/gameon-olympics-2024-boxing-controversial/
Tags: โอลิมปิกเกมส์, โอลิมปิก 2024, อิมาน เคลิฟ, Gender, intersex