กรณีข่าว ‘ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง’ ที่สื่อหลายสำนักนำเสนอในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นในโลกออนไลน์ ไม่ใช่เพราะเป็นเพียงคดียาเสพติด แต่เพราะ ‘ภาษาที่ถูกใช้’ และ ‘มุมมองที่เลือกเล่า’ ได้สะกิดบาดแผลเก่าในสังคม ว่าด้วยอคติทางเพศและการเหมารวมกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) เข้ากับพฤติกรรมผิดกฎหมาย
แม้ข่าวจะเป็นการรายงานเหตุจับกุมตามหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามคือ วิธีการนำเสนอที่บางสื่อเลือกใช้ถ้อยคำและรายละเอียดซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง เช่น การบรรยายลักษณะของผู้ต้องหาในเชิงล่อแหลม หรือการเน้นว่าผู้ร่วมปาร์ตี้เป็น ‘กลุ่มชายรักชาย’ ทั้งที่อัตลักษณ์ทางเพศไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับการกระทำผิด
หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่าง สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย และบางกอกเรนโบว์ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อแนวทางการนำเสนอข่าวในลักษณะนี้ โดยระบุว่า การเน้นอัตลักษณ์ทางเพศของผู้ถูกจับกุมอย่างไม่จำเป็นถือเป็นการ ‘ผลิตซ้ำอคติ’ และสร้างภาพเหมารวมในเชิงลบต่อชุมชน LGBTQIA+ ซึ่งการรายงานแบบดังกล่าวอาจนำไปสู่การ ‘ตีตรา’ ในสังคม ทำให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศถูกมองในแง่ลบ ทั้งที่ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องของอัตลักษณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ภาษาที่ลดทอนความเป็นมนุษย์
องค์กรบางกอกเรนโบว์ระบุว่า ร่างข่าวที่เผยแพร่มีหลายส่วนที่เกินความจำเป็นและไม่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงของคดี เช่น การบรรยายว่า ‘พบอุจจาระสีเหลืองเปรอะตามเตียงมั่วสุม’ หรือการใช้คำอย่าง ‘สวมกางเกงในตัวเดียว’ และ ‘ถุงยางอนามัยใช้แล้วเกลื่อนห้อง’
ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจลักษณะความผิดทางกฎหมาย แต่กลับสร้างภาพในเชิงดูหมิ่นและลดทอนศักดิ์ศรีของผู้ถูกจับกุม ซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ ‘การลดทอนความเป็นมนุษย์’ (Dehumanization)
องค์กรสิทธิมนุษยชนจึงเสนอให้สื่อและเจ้าหน้าที่มุ่งเน้นเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น เช่น ใครคือผู้ต้องหา ถูกตั้งข้อหาใด และของกลางที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยไม่ควรใส่รายละเอียดที่ละเมิดศักดิ์ศรีหรือความเป็นส่วนตัวของบุคคล
นอกจากนี้ยังพบการใช้ถ้อยคำในลักษณะ ‘ประจาน’ (Public Shaming) มากกว่าการรายงานข้อเท็จจริง เช่น คำว่า ‘มั่วสวาท’ ที่ปรากฏซ้ำๆ ในข่าว คำนี้มีนัยของการตัดสินเชิงศีลธรรมว่าเป็นพฤติกรรมทางเพศที่ผิด ทั้งที่การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ที่ยินยอมพร้อมใจไม่ใช่อาชญากรรม การใช้ถ้อยคำเช่นนี้จึงสะท้อนอคติทางศีลธรรมของผู้รายงาน และทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ‘สำส่อน’ หรือ ‘ผิดปกติ’ ทางเพศ
การเหมารวมกลุ่มเพศหลากหลาย
สิ่งที่องค์กรสิทธิเพศเห็นว่าน่ากังวลที่สุดคือ การพาดพิงถึงอัตลักษณ์ทางเพศของผู้ต้องหา โดยมีการระบุในข่าวว่าเป็น ‘ปาร์ตี้กลุ่มชายรักชาย LGBTQIA+’ ทั้งที่ข้อมูลนี้ไม่จำเป็นต่อการอธิบายเหตุการณ์ และยิ่งไปกว่านั้นยังสร้างภาพจำว่ากลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือพฤติกรรมผิดศีลธรรม
การนำเสนอในลักษณะนี้ถือเป็นการ ‘ตีตรา’ (Stigmatization) ที่ทำให้คนในสังคมมองกลุ่ม LGBTQIA+ ด้วยอคติ และรู้สึกว่าความเป็นเพศหลากหลายคือสิ่งน่ารังเกียจหรือมีปัญหา ทั้งที่ในความเป็นจริง อัตลักษณ์ทางเพศไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอาชญากรรมใดๆ เลย
ในร่างข่าวยังใช้ภาษาที่เร้าอารมณ์และมีลักษณะคล้ายบทนิยาย เช่น ‘สายสืบหุ่นล่ำกล้ามดีเข้าเกลียวแฝงตัว’ หรือ ‘ทะลวงขึ้นไปสู่จุดมั่วสุม’ รวมถึงการใช้ชื่อปฏิบัติการ ‘ปาร์ตี้เหมืองทอง’ ซ้ำๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้น เป็นการสร้างอรรถรสเพื่อความตื่นเต้นเร้าอารมณ์ (Yellow Journalism) ที่มุ่งเน้นอรรถรสมากกว่าความถูกต้องและความเป็นกลางทางข้อมูล
สื่อกับอำนาจในการกำหนดภาพจำ
ในสังคมที่สื่อคือผู้กำหนด ‘กรอบการรับรู้’ ของสาธารณะ การเลือกใช้คำ พาดหัว หรือแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ ในข่าว ล้วนมีพลังในการสร้างภาพจำและทัศนคติระยะยาวต่อกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่ง
ในกรณีข่าว ‘ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง’ สื่อหลายสำนักเลือกใช้คำอย่าง ‘มั่วสวาท’, ‘ถุงยางเกลื่อนกลาด’ ‘ชายรักชาย’ หรือ ‘กลุ่ม LGBTQIA+’ ในบริบทของคดียาเสพติด ทั้งที่อัตลักษณ์ทางเพศของผู้ถูกจับกุมไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด
รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้สาธารณชนเข้าใจข้อเท็จจริงของคดีมากขึ้น แต่กลับสร้างบรรยากาศทางศีลธรรมที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกขยะแขยงหรือรังเกียจผู้เกี่ยวข้อง และโดยปริยายคือส่งผลต่อทั้งชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ ถือเป็นตัวอย่างของการสื่อสารที่ ‘ผลิตซ้ำอคติ’ และกระตุ้นความเกลียดกลัวเพศหลากหลายผ่านการรายงานข่าว
บทเรียนและข้อเสนอเพื่อสื่อ-รัฐ-สังคม
กรณี ‘ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง’ ไม่ได้เป็นเพียงข่าวอาชญากรรมทั่วไป แต่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจของภาษาและการสื่อสารในสังคมไทย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่าย โดยเฉพาะองค์กรสิทธิเพศออกมาเรียกร้องให้ทั้งสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐทบทวนบทบาทของตนในการสื่อสารกับสาธารณะ เพราะการรายงานข่าวไม่ใช่แค่การเล่าเหตุการณ์ แต่ยังเป็นการกำหนดกรอบความคิดและภาพจำของผู้คนในสังคมด้วย
สื่อและเจ้าหน้าที่ตำรวจควรตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกจากข่าว โดยเฉพาะส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวคดี เช่น การบรรยายสภาพห้องหรือรายละเอียดส่วนตัวของผู้ถูกจับกุม เพราะข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้สาธารณชนเข้าใจความผิดทางกฎหมายมากขึ้น แต่กลับสร้างภาพลักษณ์ในเชิงลบต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และควรหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่ตัดสินคุณค่าทางศีลธรรม เช่น คำว่า ‘มั่วสวาท’ หรือ ‘วงการสำส่อน’ ซึ่งมีนัยของการประณามพฤติกรรมทางเพศ แทนที่จะรายงานข้อเท็จจริง
นอกจากนี้การรายงานข่าวควรมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของคดี ของกลาง หรือข้อหาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สังคมเข้าใจเนื้อหาสาระของเหตุการณ์มากกว่าการถูกชี้นำด้วยอารมณ์หรือความตื่นเต้นจากถ้อยคำที่ไม่จำเป็น รวมถึงหลีกเลี่ยงการเน้นย้ำอัตลักษณ์ทางเพศของผู้ต้องหาโดยไม่มีความจำเป็น เพราะการระบุว่าเป็น ‘กลุ่มชายรักชาย’ หรือ ‘กลุ่ม LGBTQIA+’ โดยไม่เกี่ยวข้องกับคดี จะยิ่งตอกย้ำอคติและสร้างภาพจำผิดๆ ว่า ความหลากหลายทางเพศมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอาชญากรรม ซึ่งเป็นการเหมารวมที่ไม่เป็นธรรมต่อทั้งชุมชน
อ้างอิง
https://www.facebook.com/share/p/17fKLLumzR/?mibextid=wwXIfr
https://www.facebook.com/share/p/16W1CUMCGZ/?mibextid=wwXIfr
https://www.facebook.com/share/p/1FbgTBMpZF/
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000104719
Tags: Gender, อคติทางเพศ, สิทธิมนุษยชน, LGBTQ, ทลายปาร์ตี้เหมืองทอง



