ในยุคที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โลกของเรากำลังถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ทุกการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในทางบวก AI ไม่เพียงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่ยังสามารถซ้ำเติมอคติเดิมของมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องเพศและอำนาจทางสังคม

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือคลิป ‘AI bikini interviews’ ที่สร้างผู้หญิงใส่ชุดวาบหวิวออกสัมภาษณ์ผู้ชายบนท้องถนน ทุกอย่างดูสมจริงจนแทบแยกไม่ออก แต่ผู้หญิงในคลิปเหล่านั้นไม่มีตัวตนในชีวิตจริง วิดีโอเหล่านี้ได้สะท้อนการคุกคามผู้หญิงในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘ความรุนแรงทางเพศแบบดิจิทัล’ ซึ่ง AI กลายเป็นเครื่องมือในการผลิตและกระจายเนื้อหาที่เหยียดเพศในวงกว้าง

ไม่เพียงแค่การสร้างภาพเพื่อความบันเทิงหรือไวรัล AI ยังถูกนำมาใช้เพื่อลบตัวตนของกลุ่มเพศหลากหลายออกไปจากพื้นที่สาธารณะ ในกรณีภาพยนตร์ The Together (2025) ที่ฉากงานแต่งงานของคู่รักชาย-ชายถูก AI ดัดแปลงให้กลายเป็นคู่รักชาย-หญิง การกระทำนี้ไม่ได้เพียงตัดเนื้อหาออก แต่บิดเบือนสาระสำคัญและเจตนารมณ์ของผู้สร้าง

แล้วในยุคที่ AI สามารถสร้างภาพและเรื่องราวได้เอง เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังช่วยสร้างความเท่าเทียมหรือซ้ำเติมอคติเดิมทางเพศที่ฝังลึกอยู่ในสังคมของเรากันแน่

เมื่อเทคโนโลยีเปิดช่องให้ความรุนแรงทางเพศรูปแบบใหม่ถือกำเนิด

อีกด้านหนึ่งของเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ ‘ความรุนแรงทางเพศแบบดิจิทัล’ (Tech-Facilitated Sexual Violence) รูปแบบใหม่ของการคุกคามที่เกิดจากการใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างหรือเผยแพร่เนื้อหาที่ละเมิดศักดิ์ศรีของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้หญิง

ไม่นานมานี้ South China Morning Post รายงานกระแส ‘AI bikini interviews’ คลิปที่สร้างด้วย AI แสดงให้เห็นผู้หญิงสวมชุดบิกินีออกสัมภาษณ์ผู้ชายบนถนน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและคำพูดลามกของผู้ชายในคลิป ทั้งหมดเป็นภาพปลอม แต่กลับถูกแชร์นับล้านครั้งบนโซเชียลมีเดีย วิดีโอเหล่านี้สมจริงจนแทบแยกไม่ออกว่าปลอมหรือจริง และถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือ AI ที่ใช้งานง่ายและราคาถูก ซึ่งกำลังถูกนำมาใช้ผลิตเนื้อหาเหยียดเพศจำนวนมาก

เนื้อหาแบบนี้ถูกเรียกว่า ‘AI slop’ หมายถึงผลงานที่ผลิตจำนวนมหาศาลด้วย AI จากเพียงข้อความสั้นๆ ก็สามารถสร้างภาพหรือวิดีโอเหมือนจริงได้ภายในไม่กี่นาที จนทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสื่อเทียมที่เลือนเส้นแบ่งระหว่าง ‘ความจริง’ กับ ‘ของปลอม’ มากขึ้นเรื่อยๆ

กระแสนี้ยังเปิดทางให้อุตสาหกรรมย่อยของอินฟลูเอนเซอร์ AI ผุดขึ้นมากมาย หลายคนสร้างคอนเทนต์แนวลามกเพื่อหวังยอดวิวและรายได้จากระบบอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม ซึ่งมักให้รางวัลกับคลิปที่ไวรัล วิดีโอเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกอ้างว่าเป็นคลิปจากท้องถนนในอินเดียหรือสหราชอาณาจักร เต็มไปด้วยมุกตลกหยาบโลนและคำพูดเหยียดเพศ จนผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายกังวลว่าจะยิ่งตอกย้ำภาพจำว่าผู้หญิงคือวัตถุทางเพศ

ทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงของ AFP พบว่า วิดีโอปลอมเหล่านี้ปรากฏอยู่บน Instagram นับร้อยคลิป โดยเฉพาะในภาษาฮินดี หลายคลิปแสดงให้เห็นชายหนุ่มพูดจาหยาบคายหรือแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาว ขณะที่คนรอบข้างหัวเราะหรือส่งเสียงเชียร์ บางคลิปมียอดเข้าชมสูงถึงหลายสิบล้านครั้ง และบางส่วนยังถูกใช้โปรโมตแอปฯ หาคู่หรือแชตสำหรับผู้ใหญ่ด้วย

สิ่งที่น่ากังวลคือความสมจริงของภาพเหล่านี้มากเสียจนผู้ชมบางคนเริ่มตั้งคำถามว่า ผู้หญิงในคลิปมีตัวตนจริงหรือไม่ บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ GetReal Security วิเคราะห์แล้วพบว่า คลิปจำนวนมากถูกสร้างด้วย Veo 3 โปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหวของ Google ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสมจริงระดับสูง

นีราลี ภาเทีย นักจิตวิทยาไซเบอร์จากอินเดีย อธิบายว่า ความเกลียดชังผู้หญิง (Misogyny) ที่แต่ก่อนจำกัดอยู่ในกลุ่มปิด กำลังถูกแต่งแต้มใหม่ในรูปของภาพ AI เธอมองว่านี่คือความรุนแรงทางเพศรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นผ่านเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้ทัศนคติที่เหยียดเพศฝังลึกในสังคมมากยิ่งขึ้น

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นภาพของอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยภาพและวิดีโอที่สร้างขึ้นด้วย AI จนกำลังกลืนกินเนื้อหาจริง แม้ภาพเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นจริง แต่กลับทำให้การคุกคามผู้หญิงดูเหมือนเรื่องปกติ

อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ‘Deepfake Porn’ การนำภาพของผู้หญิงจริง ทั้งคนดังและคนทั่วไป ไปตัดต่อใส่ในคลิปโป๊โดยไม่ได้รับอนุญาต ปัญหานี้ลุกลามไปทั่วโลก จนหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ อังกฤษ และญี่ปุ่น ต้องเร่งออกกฎหมายเอาผิด แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วของเทคโนโลยียังคงวิ่งนำหน้ากฎหมายอยู่หลายก้าว 

เมื่อเทคโนโลยีถูกใช้เพื่อลบ ‘ความหลากหลายทางเพศ’

ในขณะที่ AI ถูกใช้สร้างภาพของผู้หญิงแบบที่ ‘ระบบ’ อยากเห็น อีกด้านหนึ่งมันกลับถูกใช้เพื่อลบ ‘ตัวตน’ ของคนที่ไม่เข้ากับบรรทัดฐานทางเพศออกไปอย่างแนบเนียน

ตัวอย่างล่าสุดคือกรณีภาพยนตร์สยองขวัญ The Together ของ เดฟ ฟรานโก (Dave Franco) ที่ถูกถอนออกจากการฉายในจีน หลังผู้จัดจำหน่ายในประเทศใช้ AI ดัดแปลงฉากงานแต่งงานของคู่รักชาย-ชาย ให้กลายเป็นคู่รักชาย-หญิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้สร้าง

ค่ายภาพยนตร์ Neon ซึ่งถือสิทธิจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ระบุว่า บริษัทจัดจำหน่ายในจีนอย่าง Hishow ละเมิดข้อตกลง เพราะตามหลักแล้ว ผู้จัดจำหน่ายต่างประเทศไม่มีสิทธิ์แก้ไขเนื้อหาของภาพยนตร์ต้นฉบับ Neon จึงเรียกร้องให้ยุติการฉายเวอร์ชันที่ถูกเปลี่ยนแปลงทันที

สิ่งที่ทำให้หลายฝ่ายตกใจคือ การแก้ไขไม่ได้ทำด้วยการ ‘ตัดต่อแบบดั้งเดิม’ แต่ใช้เทคโนโลยี AI Face Swap การสลับใบหน้าตัวละครชายให้กลายเป็นผู้หญิง ทำให้ฉากดังกล่าวดูสมจริงราวกับไม่ได้ถูกเปลี่ยนอะไรเลย การใช้ AI แบบนี้สร้างความกังวลอย่างมาก เพราะแทบตรวจจับไม่ได้และทำให้ผู้ชมไม่รู้เลยว่ากำลังดูเวอร์ชันจริงหรือของปลอม

รายงานจาก China Digital Times ระบุว่า ไม่เพียงแต่ฉากรักเพศเดียวกันที่ถูกเปลี่ยน แต่ยังมีการตัดฉากรักระหว่างชาย-หญิงบางส่วนออกด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการเซนเซอร์ของรัฐจีน เหตุการณ์นี้จึงสะท้อนรูปแบบใหม่ของการเซนเซอร์ที่ไม่ได้เพียง ‘ลบ’ หรือ ‘ตัด’ แต่คือการ ‘ปลอมแปลง’ เนื้อหาให้ตรงตามกรอบที่อำนาจต้องการ จนถึงขั้นทำให้โครงสร้างและสาระสำคัญของภาพยนตร์บิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของผู้สร้าง โดยใช้เทคโนโลยียุคใหม่เป็นเครื่องมือ

ผู้สังเกตการณ์จำนวนมากแสดงความกังวลว่า หากการใช้ AI ในการเซนเซอร์แพร่หลาย การตรวจสอบความถูกต้องของงานศิลปะและเนื้อหาสื่อในอนาคตอาจแทบเป็นไปไม่ได้ อันจะส่งผลร้ายแรงต่อเสรีภาพทางวัฒนธรรมและการเคารพสิทธิของผู้สร้าง

กรณี The Together จึงไม่ใช่เพียงความขัดแย้งเชิงพาณิชย์ หากแต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ที่ปัญญาประดิษฐ์จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนเรื่องราวและลบการแทนที่ของกลุ่มเพศหลากหลายในผลงานศิลปะ ซึ่งอาจถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดต่อเสรีภาพในการเล่าเรื่องในยุคดิจิทัล

เมื่อโลกดิจิทัลท้าทายสิทธิและความหลากหลายทางเพศ

การใช้ AI ทั้งในการสร้างวิดีโอปลอมที่คุกคามผู้หญิง และการแก้ไขภาพยนตร์เพื่อ ‘ลบ’ ตัวตนของคู่รักเพศเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเทคโนโลยี แต่ยังสามารถกลายเป็นกลไกซ้ำเติมอคติทางเพศในสังคมได้อย่างรวดเร็วและแนบเนียน เมื่อ AI ถูกปล่อยให้ทำงานโดยไม่มีกรอบทางจริยธรรมหรือกฎหมายรองรับ สิทธิและความหลากหลายทางเพศของกลุ่ม LGBTQIA+ อาจถูกลดทอนจนกลายเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามหรือถูกลบออกจากพื้นที่สาธารณะ

ในขณะเดียวกัน ความรุนแรงทางเพศแบบดิจิทัลและการผลิตเนื้อหาเหยียดเพศด้วย AI ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมทางเพศที่ฝังลึกในสังคม ผู้หญิงยังคงเผชิญการคุกคามและการมองว่าเป็นวัตถุทางเพศ ส่วนกลุ่มเพศหลากหลายก็ต้องต่อสู้เพื่อให้การปรากฏตัว และตัวตนของตนได้รับการยอมรับ ซึ่ง AI อาจกลายเป็นเครื่องมือที่ไม่เพียงสร้างภาพ แต่ยังบิดเบือนและลบล้างความเท่าเทียมในโลกยุคใหม่

แหล่งข้อมูล

https://www.abc.net.au/news/2025-10-04/dave-franco-horror-film-pulled-from-china-over-ai-censorship/105844328

https://www.indiewire.com/news/general-news/ai-censorship-together-china-subplot-makes-no-sense-1235152902/?fbclid=IwY2xjawNh67ZleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFhTDNha1BsTDh0RXJobVB1AR48CJi-2PdFwrXGE5mKqB4gz8H6YEbvdb0rSDBdQ_DPrGxrMDHFyLxEPeGXpQ_aem_jxPc7dLHcSGkuGPUM3EEow

https://www.scmp.com/news/world/article/3323964/ai-bikini-interview-videos-flood-internet-sparking-sexism-concerns

https://www.theguardian.com/world/2025/sep/24/horror-film-digitally-altered-china-gay-couple-straight-together

https://www.unfpa.org/TFGBV

https://x2.timesofmalta.com/20250902/pink/ai-bikini-interviews-fuelling-sexism/

Tags: , , , , ,