เดวิด มาเธสัน (David Matheson) นักบำบัดคนรักเพศเดียวกันชื่อดังจากรัฐยูทาห์ เพิ่งออกมายอมรับว่าเขาเป็นเกย์และกำลังเดทกับผู้ชาย หลังจากกลุ่ม LBGT นาม Truth Wins Out ออกมาเผยแพร่บทสนทนาทางเฟสบุ๊กของเขากับเพื่อนนักบำบัดคนรักเพศเดียวกัน

เหตุการณ์นี้นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ทั้งตัวมาเธสันเอง และ ‘การบำบัดคนรักเพศเดียวกันให้กลับใจ’ ที่ยังมีอยู่ในหลายประเทศ ถึงแม้องค์กรอย่าง American Psychological Association (APA) จะประกาศอย่างเป็นทางการว่า การรักคนเพศเดียวกันไม่ใช่โรคทางจิตเวชมากว่า 30 ปีแล้วก็ตาม

มาเธสันผู้นับถือลัทธิมอร์มอนและเพิ่งหย่ากับภรรยาที่อยู่ด้วยกันมา 34 ปี รวมทั้งมีลูกด้วยกันสามคน ได้ออกมาเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชน โดยกล่าวว่า เขาไม่ได้ต้องการจะแก้ตัว แต่การบำบัดทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นผลมาจากมุมมองแคบๆ ที่ว่าการมีสุขภาพจิตที่ดีจะต้องเป็นอย่างไร รวมไปถึงการไม่เปิดใจ การเกลียดกลัวเพศเดียวกัน และการใช้ชีวิตอยู่ในลัทธิมอร์มอนตอนยังเด็กที่ได้นำพาเขาเข้าสู่การบำบัด จนได้มีชีวิตที่ดีและกลายมาเป็นนักบำบัดคนรักเพศเดียวกันจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นเขายังกล่าวขอโทษและบอกว่า เขาทำการบำบัดก็เพราะความเห็นอกเห็นใจและความรักที่เขามีต่อชุมชนนี้

อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นในโลกออนไลน์ต่างพุ่งเป้าไปที่การที่เขาไม่แสดงความเสียใจอย่างจริงจังต่อผู้ที่มาทำการบำบัดกับเขาและได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีกลับไป แต่กลับกล่าวว่าตนเองกำลังเดทกับผู้ชาย ตั้งใจมุ่งหน้าไปสู่เส้นทางอาชีพใหม่ เน้นย้ำว่าชีวิตแต่งงานกับคนต่างเพศของเขานั้นเป็นสิ่งจริงแท้ และกล่าวว่าจดจำช่วงเวลาแห่งความสุขและการเติบโตนั้นด้วยความยินดีและซาบซึ้งใจ

เวย์น เบเซน ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Truth Wins Out ออกมาทวิตตอบโต้ว่าดูเหมือน เดวิด มาเธสัน จะสนใจเส้นทางชีวิตของตัวเองมากกว่าผู้คนที่เขาได้ทำให้ชีวิตพังพินาศไป ผมหวังว่าการเติบโตที่เขาว่า จะทำให้เขาจะสามารถช่วยเหลือเหยื่อของเขา รวมทั้งหยุดยั้งการทำร้ายกันในอนาคต และบางทีเขาอาจจะเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นได้ในสักวันหนึ่ง

การบำบัดคนรักเพศเดียวกัน (Gay-conversion therapy หรือ Reparative therapy) ตั้งแต่การบำบัดด้วยการพูดคุย การเข้าค่ายสุดสัปดาห์ การใช้ยา การช็อตไฟฟ้า การเข้าร่วมกิจกรรมในโบสถ์อย่างต่อเนื่อง และวิธีการรุนแรงอื่นๆ นับเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงและต่อต้านกันมาอย่างยาวนาน นอกจากเหตุผลที่ว่า การรักเพศเดียวกันได้รับการยอมรับทางการแพทย์ในฐานะเพศวิถี ไม่ใช่โรคทางจิตเวช จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการบำบัด อีกเหตุผลหลักคือผลกระทบทางจิตใจที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง นั่นคือทั้งผลวิจัย การสำรวจ และบทสัมภาษณ์ต่างเผยว่า การบำบัดประเภทนี้นำไปสู่ความอับอาย ความรังเกียจตัวเอง ความคิดฆ่าตัวตาย และโรคทางจิตเวชอื่นๆ ที่อาจฝังใจพวกเขาไปตลอดชีวิต โดยผลวิจัยของ UCLA School of Law กล่าวว่ามีคนอเมริกันราว 698,000 คนที่เคยรับการบำบัดประเภทนี้ โดยครึ่งหนึ่งนั้นเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น

ถึงจะมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอทั้งจากฝั่งรัฐบาล องค์กรอิสระ และองค์กรทางศาสนาที่เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น การบำบัดประเภทนี้ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลกและยังไม่มีการนำมาตรการหรือกฎหมายมาปกป้องผู้เยาว์มากเพียงพอแม้กระทั่งในอังกฤษหรืออเมริกา และถึงแม้เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมาสภาเมืองนิวยอร์กจะเพิ่งผ่านกฎหมายแบนการบำบัดคนรักเพศเดียวกันในผู้เยาว์ไปหมาดๆ แต่หากในประเทศ วัฒนธรรม และศาสนาต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกยังคงเชื่อว่า การรักเพศเดียวกันนั้นผิดและเพศวิถีเป็นสิ่งที่รักษาได้ กฎหมายใหม่ที่นิวยอร์คก็คงจะเป็นเพียงก้าวหนึ่ง และการเดินทางอันยาวนานนี้ก็คงจะยังไม่สิ้นสุดในเร็ววัน

อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/world/2019/jan/25/david-matheson-former-gay-conversion-therapy-advocate-comes-out

https://www.theguardian.com/world/2018/aug/08/i-still-have-flashbacks-the-global-epidemic-of-lgbt-conversion-therapy

https://www.nytimes.com/2019/01/21/nyregion/conversion-therapy-ban.html