1.

หากย้อนกลับไป 10 ปีก่อน มีใครบอกว่านักฟุตบอลสัญชาติเกาหลีใต้จะได้ลงเล่นบนผืนหญ้าลีกกัลโช เซเรียอา (Calcio Serie A) ประเทศอิตาลี ก็คงจะถูกเยาะเย้ยว่าเป็นพวกเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งที่คอบอลทุกรายจดจำได้ คือคนอิตาลีแทบจะสาปส่งพ่อค้าแข้งจากแดนโสมขาวทุกราย

แต่ไม่ใช่เพราะเกลียดหรือแค้นในนามตัวบุคคลนะครับ

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุการณ์ในฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ร่วมกันเป็นชาติเจ้าภาพ ทีมชาติอิตาลีที่ ณ เวลานั้นอุดมไปด้วยยอดซูเปอร์สตาร์อย่าง ฟรานเชสโก ตอตติ (Francesco Totti), อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร (Alessandro Del Piero), คริสเตียน วิเอรี (Christian Vieri), ฟาบิโอ คันนาวาโร (Fabio Cannavaro) ฯลฯ ทะลุผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายมาเจอกับเจ้าภาพโสมขาว โดยสื่อทุกสำนักต่างฟันธงให้ทัพอัซซูรีมีชัยเหนือกว่า ทว่าพอลงสนามกันจริง กลับเกิดเหตุการณ์มากมายในสนาม รวมถึงการตัดสินที่ค้านสายตาคนทั่วโลกของ ไบรอน โมเรโน (Byron Moreno) ผู้ตัดสินชาวเอกวาดอร์  

หลัง คริสเตียน วิเอรี ขึ้นโหม่งเบิกสกอร์ให้อิตาลีขึ้นนำในนาทีที่ 18  ไบรอน โมเรโน ก็เริ่มแผลงฤทธิ์ เป่าฟาล์วนักเตะอิตาลีบ่อยขึ้น แม้แต่จังหวะปะทะธรรมดาที่แทบไม่มีอะไร กลับกันจังหวะเล่นหนักถึงลูกถึงคนหลายต่อหลาครั้งของนักเตะเกาหลีใต้ที่ควรเป็นใบแดง ผู้ตัดสินชาวเอกวาดอร์เลือกที่จะหูเอานาเอาตาไปไร่ 

การแข่งขันล่วงเลยถึงช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 113 ในขณะที่สกอร์เสมอกันอยู่ 1-1 อิตาลีของกุนซือขรัวเฒ่า โจวานนี ตราปัตโตนี (Giovanni Trapattoni) ที่กำลังโหมบุกราวกับพายุต้องมาเหลือ 10 คน เมื่อ ฟรานเชสโก ตอตติ ถูกแจกใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงในข้อหาพุ่งล้ม (ซึ่งถ้าดูภาพช้าจะเห็นว่าเขาถูกหวดข้อเท้าจริงๆ) เมื่อสมาธิแตกซ่าน นักเตะเกาหลีใต้จึงฉวยโอกาสพลิกแซงนำ 2-1 จากลูกโหม่งของ อาห์น จุง ฮวาน (Ahn Jung Hwan) และด้วยกฎโกลเดนโกล (Golden Goal Rule) ทำให้เจ้าภาพลอยลำผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติและทวีปเอเชียทันที 

เรื่องราวเอวังด้วยความเกลียดชังของคนอิตาลีทั้งประเทศ หนังสือพิมพ์กีฬาน้อยใหญ่พากันพาดหัวว่าเป็นแมตช์อัปยศที่สุดตลอดกาลของโลกลูกหนัง ทีมชาติเกาหลีใต้ถูกขนานนามว่าเป็นชาติแห่งการโกง ขณะที่ปลาตัวใหญ่อย่างโมเรโนถูกกล่าวหาว่าได้รับสินบนใต้โต๊ะเป็นรางวัลตอบแทนเพื่อแลกกับการยอมลดเกียรติอาชีพ (สุดแท้จริงอย่างไรนั้นยังไร้ข้อหลักฐานมัดตัว)

2.

อย่างที่ทราบกันดีว่าคนอิตาลีนั้นรักศักดิ์ศรีเหนือสิ่งใด โดยเฉพาะเรื่องของกีฬาฟุตบอล หลังจบทัวร์นาเมนต์เวิลด์คัพ 2002 สโมสรเปรูจา (Perugia) รีบฉีกสัญญายืมตัวและตะเพิด อาห์น จุง ฮวาน ออกจากทีมทันทีทันใดในข้อหาเป็นอริของชาติ หลังจากนั้น แฟนบอลแทบไม่เห็นนักเตะโสมขาวไปเล่นอยู่ในเวทีกัลโช เซเรียอา อีกเลย 

แผลแห่งความบาดหมางของ 2 ชาติ แม้จะจางลงแต่ยังตกสะเก็ดทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ปี 2013 พัค แจซัง หรือ Psy เจ้าของเพลงกังนัมสไตล์ (Gangnam Style) เดินทางมาแสดงโชว์ที่สนามสตาดิโอโอลิมปิโก (Stadio Olimpico) ระหว่างช่วงพักครึ่งของเกมรอบชิงชนะเลิศถ้วยโคปปาอิตาเลีย (Coppa Italia) ผลคือถูกแฟนบอลโห่ยับ 

ระยะเวลายาวนานถึง 15 ปี กว่าที่จะมีนักเตะเกาหลีใต้ได้กลับไปค้าแข้งที่ประเทศอิตาลี โดยผู้โชคดีรายนั้นคือ ลี ซึงอู (Lee Seung-woo) กองกลางตัวรุกที่ย้ายจากทีมบาร์เซโลนา เบ (Barcelona B) ในสเปน มาเข้าร่วมทีมเฮลาส เวโรนา (Hellas Verona F.C.) แต่ก็เป็นระเวลาสั้นๆ แค่ 2 ฤดูกาล ไม่ได้โชว์ฟอร์มโดดเด่น และที่ตลกร้ายกว่านั้นคือคอบอลส่วนใหญ่แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีนักเตะรายนี้อยู่ในทีมเวโรนา

กระทั่งปี 2022 ยอดทีมแห่งแดนมักกะโรนีอย่างนาโปลี (S.S.C. Napoli) ตัดสินใจเซ็นสัญญาคว้าตัว ‘คิม มินแจ’ (Kim Min-jae) กองหลังร่างยักษ์มาจากทีมเฟเนบาเชห์ (Fenerbahçe) ในฟุตบอลซูเปอร์ลีกตุรเคีย (Super League Turkey) ด้วยค่าตัว 19.5 ล้านยูโร เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อมาแทนที่การจากไปของ คาลิดู คูลีบาลี (Kalidou Koulibaly) กองหลังจอมแกร่ง ปาดหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ทอตนัม ฮอตสเปอร์ และเอฟเวอร์ตัน ที่สนใจเช่นกัน ท่ามกลางคำครหาจากแฟนบอลอิตาลีว่า ไฉนจึงไปดึงนักเตะจากชาติคู่อริมาร่วมทีม 

3.

การมาของคิม มินแจ เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ทั้งโค้ช ลูเซียโน สปัลเล็ตติ (Luciano Spalletti) จะใช้งานเขาแบบไหน จะยึดตัวหลักหรือเป็นได้แค่อะไหล่บนม้านั่งสำรอง จะรอดจากเสียงโห่ เย้ยหยัน และคำด่าเหยียดเชื้อชาติได้มากน้อยแค่ไหน

ที่น่าตลกร้ายกว่านั้นคือ วันแรกที่เขาเข้าแคมป์เพื่อเก็บตัวกับเพื่อนร่วมทีม เขากลับเลือกแนะนำตัวบนโต๊ะอาหารด้วยการร้องเพลงกังนัมสไตล์ของ PSY ศิลปินชื่อดังที่โดนแฟนบอลอิตาลีโห่ยับเมื่อ 10 ปีก่อน

อย่างไรก็ดี การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด และ คิม มินแจ แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเขามีดีอย่างไร 

ปัจจุบัน (30 ตุลาคม 2022) นาโปลีนำโด่งเป็นจ่าฝูงฟุตบอลลีกอิตาลีหลังแข่งไปแล้ว 12 นัด เก็บไปได้ 32 แต้ม ยิงได้ 30 ประตู และที่สำคัญพวกเขาเสียประตูเพียง 9 ลูกเท่านั้น เหนือกว่ายูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน, โรมา และแชมป์เก่า เอซี มิลาน ขณะที่เวทียูฟ่าแชมเปียนลีกส์ (Uefa Champion League) พวกเขาเก็บไปได้ 15 แต้ม จาก 5 นัด ยิงได้ 20 เสีย 4 ประตู ทั้งที่ในกลุ่มของพวกเขามีลิเวอร์พูลเป็นก้างขวางคอชิ้นโต

แน่นอนว่าหนึ่งในคีย์แมนสำคัญของนาโปลีและเป็นหัวใจของแดนหลัง คือมินแจนั่นเอง ด้วยความสูง 190 ซม. ทำให้เขาไร้ปัญหาการโดนคู่แข่งโจมตีกดดันด้วยลูกโหม่ง ขณะที่ภาคพื้นดินก็สกัดบอลเฉียบขาดถึงลูกถึงคน จ่ายบอลแม่นยำ วิ่งไล่ไม่มีหมด ส่งผลให้ปราการหลังโสมขาวยึดตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายเหนียวแน่น การันตีตัวจริงครบ 90 นาทีแทบจะทุกเกม โดยลงเล่นรวมทุกรายการไปแล้วทั้งสิ้น 1,350 นาที (ถึงขั้นมีข่าวว่าทอตนัม ฮอตสเปอร์ เสียดายที่พลาดคว้าตัว)

ทั้งนี้ เว็บไซต์ whoscored.com ได้เผยคะแนนค่าเฉลี่ยการเล่นเบื้องต้นที่น่าสนใจของเขาไว้ดังนี้ คือ

1. คะแนนลงเล่นเฉลี่ย 7.30 คะแนนต่อเกม

2. ค่าเฉลี่ยการเคลียร์บอลจังหวะอันตราย 4.8 ครั้งต่อเกม

3. ค่าเฉลี่ยการเข้าสกัดจังหวะอันตราย 1.9 ครั้งต่อเกม

4. ค่าเฉลี่ยการเข้าบล็อกลูกยิง 1.3 ครั้งต่อเกม

5. ผ่านบอลสำเร็จ 88.8% ต่อเกม 

ถ้าหากไม่อ่านชื่อเสียงเรียงนามคงนึกว่านี่เป็นค่าเฉลี่ยของกองหลังยุโรปตัวสูงใหญ่ จนบางคนสงสัยว่ามินแจเป็นนักฟุตบอลลูกครึ่งหรือไม่ และเมื่อบวกกับความร้อนแรงของปีกซ้ายดาวโรจน์ชาวจอร์เจียร์ ควิชา ควารัตสเคเรีย (Khvicha Kvaratskhelia), โจวานนี ซิเมโอเน (Giovanni Simeone) กองหน้าชาวอาร์เจนตินาผู้เป็นบุตรชายแท้ๆ ของดิเอโก ซิเมโอเน (Diego Simeone) และวิกตอร์ โอซิมเฮน (Victor osimhen) กองหน้าตัวความหวังชาวไนจีเรีย ยิ่งทำให้แฟนๆ นาโปลีได้ฝันหวานที่จะเห็นทีมเป็นม้ามืดคว้าแชมป์รายการใดรายการหนึ่งในบั้นปลายฤดูกาล 2022/2023

 

4.

“พวกแกคิดจะซื้อนักเตะเกาหลีมาร่วมทีม บ้าไปแล้วหรอวะ”

“อิตาลีตกต่ำถึงขั้นต้องซื้อกองหลังจากพวกเกาหลีแล้วหรือ”

“นี่เป็นปัญหาตัวอย่างของพวกประธานสโมสรในกัลโชที่ยอมจ่ายเงินราคาแพงเพื่อซื้อผู้เล่นต่างชาติ ทั้งที่ในประเทศมีผู้เล่นดาวรุ่งฝีเท้าดีให้เลือก”

คอมเมนต์ส่วนหนึ่งของแฟนบอลนาโปลีบนหน้าเว็บไซต์ football-italia.net ในช่วงที่เพิ่งรู้ว่าประธานสโมสร ออเรลิโอ เด ลอเรนติส (Aurelio De Laurentiis) ยอมอนุมัติเงินสำหรับคว้าตัวคิม มินแจ มาร่วมทีม ทว่า ณ ตอนนี้ ยิ่งลงเล่น ปราการเหล็กชาวเกาหลีใต้ยิ่งเป็นที่รักของเพื่อนร่วมทีมและชาวเมืองเนเปิลส์มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่แฟนบอลบางรายที่เป็นชาวอิตาลีแท้ๆ เลือกที่จะมองข้ามเหตุการณ์ฟุตบอลโลก 2002 เพื่อมองถึงคุณงามความดีของเขา 

“ผมมาที่นี่เพื่อคว้าแชมป์ลีกที่ทีมถวิลหามาตลอด 30 ปี ผมไม่ลังเลเลยที่จะออกมาจากตุรเคียเพื่อตามหาโอกาสอันยิ่งใหญ่ จนถึงตอนนี้ผมแทบไม่อยากจะเชื่อ ตลอด 4 เดือนที่ผมย้ายมาใช้ชีวิตในเนเปิลส์ยังกับความฝัน ถึงตอนนี้ผมจะมีอุปสรรคทางด้านภาษาเพราะที่นี่ใช้ภาษาอิตาลีเป็นหลัก แต่ผมจะพยายาม และสำหรับทีม (นาโปลี) ถ้าเรายังมีฟอร์มยอดเยี่ยมแบบนี้ต่อไป เราจะต้องเป็นแชมป์ได้อย่างแน่นอน” บทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งของคิม มินแจ จากสื่อออนไลน์ท้องถิ่น TuttoNapoli ต่อฟอร์มอันยอดเยี่ยมของตนและทีม

แม้จะเกิดในครอบครัวที่พ่อและพี่ชายเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มีรูปร่างสรีระร่างกายดุจพระเจ้าประทานพร แต่หากขาดความมุ่งมั่นตั้งใจก็คงจะทำให้มินแจ ไม่มีอนาคตดั่งเช่นทุกวันนี้ เหมือนในปี 2016 ที่เขาตัดสินใจทิ้งการเรียนระดับมหาวิทยาลัยกลางคันเพื่อที่จะมีเวลาฝึกซ้อมเต็มเวลาเพื่อเอื้อต่อการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ หรือแม้แต่การกล้าได้กล้าเสี่ยงเก็บกระเป๋าย้ายมาค้าแข้งในลีกอิตาลีท่ามกลางคำสบประมาท และความเกลียดชังของแฟนบอลเจ้าถิ่นที่มีต่อชาติบ้านเกิด 

อีกนัยหนึ่ง นี่เป็นกระจกสะท้อนชั้นดีให้ชาติชั้นนำอย่างอิตาลีเห็นว่า ตราบใดที่ยังไม่ทิ้งอดีตและอีโก้ บุคลากรจากชาติที่เล็กกว่าก็พร้อมจะแซงหน้าเสมอ แม้แต่นักฟุตบอลเยาวชนไทยก็ตาม ถ้าขยันหมั่นฝึกซ้อม ดูแลสภาพร่างกาย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง สักวันโอกาสย่อมมาถึง

 

ข้อมูลอ้างอิง:

 

Tags: , , , , ,