“ใหญ่โต ทรงพลัง รวดเร็ว และเยี่ยมยอดกว่าใครทั้งหมด” (Too big, too strong, too fast and too good) 

ย้อนกลับไปในปี 2011 นี่คือคำพูดติดปากของผู้บรรยายเกมการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล NBA ใช้เพื่อบรรยายลีลาการเล่นที่แสนจะงดงาม พลิ้วไหว และทรงพลัง ของผู้เล่นมหัศจรรย์ที่มีชื่อว่า เดอร์ริก มาร์เทล โรส (Derrick Martell Rose) พอยต์การ์ดเจ้าของตำนานเสื้อเบอร์ 1 ของทีมชิคาโก บูลส์ (Chicago Bulls) ตำแหน่ง Rookie of the Year ในปี 2009 และผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ NBA ฤดูกาล 2010-2011 ในวัยเพียงแค่ 22 ปี

ด้วยสไตล์การเล่นที่น่าทึ่ง และการขยับร่างกายแบบผิดมนุษย์มนาจนน่าเหลือเชื่อ สิ่งที่โรสต้องแลกมาคือ ‘อาการบาดเจ็บ’ และ ‘อายุขัยของนักกีฬา’ ที่สั้นกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ โรสได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 24 ครั้ง จากการเล่นให้กับชิคาโก บูลส์เพียงแค่ 9 ปี และหนึ่งในอาการที่พรากความเป็น MVP ของเขาไปคือเอ็นไขว้หน้า (ACL) เข่าซ้ายฉีกขาดในฤดูกาล 2012 ทำให้เขาต้องพักฟื้นอย่างต่ำ 8 เดือน แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่ขาดในวันนั้น ไม่ใช่แค่เอ็นเข่าของเขาเท่านั้น แต่ความเป็นยอดนักบาสของเขาก็ขาดลงเช่นกัน

ในฐานะที่ครบรอบ 10 ปีที่โรสได้รับตำแหน่ง MVP จึงอยากจะพาทุกท่านไปย้อนรอยดูเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามของเจ้าชายดอกกุหลาบ ‘เดอร์ริก โรส’ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

เดอร์ริก โรส เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1988 ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ในย่านอีเกิลวูด โดยเขาเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้งสี่ของ เบรนดา โรส แม่ที่ได้เลี้ยงดูพวกเขามาอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกชายทั้ง 4 ของเธอจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง ดังนั้น นอกจากการเรียนแล้ว บาสเกตบอลจึงเป็นความบันเทิงเพียงไม่กี่อย่างที่มอบความสุขให้แก่เขาในวัยเด็ก โดยที่ไม่รู้เลยว่า เมล็ดพันธุ์แห่งพรสวรรค์ในตัวเขากำลังจะเบ่งบานในอีกไม่ช้า

โรสเริ่มฉายแววการเป็น ‘บาสเกตแมน’ ขณะที่เรียนอยู่ในเกรด 8 จากการเล่นบาสให้กับโรงเรียนในตำแหน่ง ‘พอยต์การ์ด’ ที่มีลีลาการเล่นที่แสนจะแพรวพราว และวิสัยทัศน์ในการเล่นที่แซงเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทำให้ครอบครัวของโรสมีความหวังในตัวของเขามาก ถึงขั้นที่ว่าพี่ชายของเขามาดูการซ้อมอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้โรสออกนอกลู่นอกทาง

 

จนในปี 2003 โรสได้เข้าเรียนที่ Simeon Career Academy ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงทางด้านบาสเกตบอล และใช้เวลาเพียงไม่นานในการไต่เต้าจนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจที่สุดในระดับมัธยมปลาย ผ่านการกวาดรางวัลกับ Simeon Academy อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งพอยต์การ์ดที่ดีที่สุดของประเทศด้วยการทำคะแนนเฉลี่ย 25.2 แต้มต่อเกม พร้อมกับสถิติชนะ 33 เกม แพ้ 2 เกม พาทีมคว้าตำแหน่งชนะเลิศ 2 ปีติดต่อกัน 

จนในปี 2007 โรสได้รับสมญานามว่า ‘มิสเตอร์บาสเกตบอลแห่งอิลลินอยส์’ จนทำให้หลายทีมจาก NBA ต้องการพอยต์การ์ดสุดพิเศษผู้นี้ไปร่วมทีม และมีการคาดการณ์ว่า การดราฟต์ตัว NBA ครั้งต่อไป ไม่ว่าทีมใดก็ตามที่ได้สิทธิ์เลือกก่อน จะต้องเลือกเดอร์ริก โรสไปร่วมทีมแน่นอน

โรสเลือกที่จะเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเมมฟิส ก่อนที่จะถูกดราฟต์เข้าสู่การแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพอย่าง NBA ในเดือนมิถุนายน ปี 2008 ซึ่งราวกับว่าโชคชะตาได้ขีดเส้นทางให้แก่โรสไว้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร เพราะทีมที่ดราฟต์ ‘มิสเตอร์อิลลินอยส์’ คือทีมบ้านเกิดของเขาอย่าง ชิคาโก บูลส์ (Chicago Bulls) ซึ่งในขณะนั้น โรสมีอายุเพียง 19 ปี 

จากเด็กน้อยจากเมืองอิลลินอยส์ของรัฐชิคาโก เติบโตอย่างยอดเยี่ยมจนเป็นจับตามองไปทั่วประเทศ ใครเล่าจะเหมาะสมกว่านี้ สำหรับผู้ที่ชาวชิคาโกจะฝากความหวังให้พาทีมของพวกเขาหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับที่ ไมเคิล จอร์แดน (Micheal Jordan) ตำนานนักบาสเกตบอลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

 

ช่วงเวลาของโรสและบูลส์นั้นราวกับเทพนิยาย หมายเลข 1 บนหลังเสื้อเป็นเครื่องแสดงถึงความเป็น ‘ที่ 1’ ของเขาเสียจริง เมื่อฤดูกาล 2008-2009 โรสเดบิวต์ตัวเองด้วยการโชว์ฟอร์มที่โดดเด่นจากการทำแต้มเฉลี่ย 16.8 แต้ม และแอสซิสต์ 6.3 ครั้งต่อหนึ่งเกม ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหัศจรรย์เหลือเกินสำหรับตำแหน่งพอยต์การ์ด ซึ่งเขาคว้าตำแหน่ง Rookie of the Year พร้อมกับพาชิคาโก บูลส์เข้าไปเล่นในรอบเพลย์ออฟ ก่อนจะพ่ายให้กับบอสตัน เซลติกส์ในรอบแรก 

นับจากนั้นมา ตั้งแต่ฤดูกาล 2009-2012 โรสได้กลายเป็นผู้เล่นคนที่สำคัญของทีม โดยการเล่นของเขาในยุคนั้นต้องเรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจ งดงาม และทรงพลัง จากความคล่องแคล่วปราดเปรียว การจัดระเบียบร่างกายกลางอากาศ ความดุดันในการเล่น ที่หากเปิดไฮไลต์การเล่นยอดเยี่ยมของ NBA ในยุคนั้น จะต้องเห็นภาพของโรสแหวกผู้เล่น 3 คน เข้าไปดังก์ทำแต้มเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นกันจนชินชา

เดอร์ริก โรส ณ ขณะนั้น ถูกกล่าวขานว่าเป็นพอยต์การ์ดที่มีความครบเครื่องที่สุด ทั้งในเรื่องการจ่ายบอล การอ่านเกม และการทำแต้ม เขาก้าวสู่จุดสูงสุดของอาชีพนักบาสกับชิคาโก บูลส์ในฤดูกาล 2010/2011 ด้วยการทำแต้มเฉลี่ย 25 แต้มต่อเกม พร้อมกับเก็บชัยชนะได้ถึง 62 เกม จนทำให้เขาคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (Most Valuable Player: MVP) จาก NBA ทำสถิติเป็นผู้เล่น MVP ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยอายุเพียง 22 ปี 191 วัน ซึ่งผู้เล่นจากชิคาโก บูลส์ที่เคยได้รับรางวัลนี้ มีเพียงแค่ตำนานของวงการบาสเกตบอลอย่าง ไมเคิล จอร์แดน เพียงคนเดียวเท่านั้น

ในตอนนี้ โรสไม่ได้เป็นเพียงแค่มิสเตอร์ชิคาโกหรือมิสเตอร์อิลลินอยส์อีกต่อไปแล้ว เมื่อแฟนๆ บาสเกตบอลทั่วโลกได้ขนานนามใหม่ให้กับเขาที่สุดแสนจะอหังการว่า ‘มิสเตอร์ MVP’

แต่ราวกับโชคชะตาจะเล่นตลกกับ MVP ผู้นี้เหลือเกิน เมื่อในฤดูกาล 2011/2012 เพียงปีเดียวหลังจากที่โรสก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเล่นอาชีพ เมื่อเอ็นไขว้หน้า (ACL) ที่บริเวณเข่าซ้ายของเขาเกิดอาการฉีกขาด ขณะที่ขาของเขาแตะลงกับพื้นจากการโชว์ลีลายัดลูกบาสลงห่วงเช่นเดียวกับที่ทำมาตลอดในระหว่างเกมเพลย์ออฟรอบแรก ทำให้เข่าต้องปิดฉากฤดูกาลนั้นด้วยการผ่าตัด และต้องพักฟื้นไปเป็นเวลาถึง 8-12 เดือน โดยที่โรสไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ขาดสะบั้นลงในวันนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เอ็นหัวเข่าของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเส้นทางของการเป็น MVP ของเขาอีกด้วยเช่นกัน 

ดูเหมือนว่าสไตล์การเล่นอันแสนจะดุดันของเขากลับเป็นดาบสองคมที่มาทำร้ายร่างกายของเขาเอง ทำให้เขาพลาดการลงเล่นในเกมระหว่างชิคาโก บูลส์และแชมป์เก่าอย่างไมอามี ฮีต ซึ่งนำทัพด้วยสุดยอดซูเปอร์สตาร์อย่าง เลอบรอน เจมส์ ในรอบสี่ทีมสุดท้ายของสายตะวันออก 

สุดท้าย ชิคาโก บูลส์ที่ไร้เงาของสุดยอด MVP ก็ได้พ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 1 ต่อ 4 เกม จนในปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า หากในวันนั้น ชิคาโก บูลส์มีมิสเตอร์ MVP อยู่ในสนาม ผลการแข่งขันจะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า

ชาวเมืองชิคาโกต้องรอนานถึงช่วงเดือนตุลาคมในปี 2013 กว่าเขาจะกลับมาลงเล่นในการแข่งอย่างเป็นทางการได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน สำหรับชาวเมืองผู้โหยหาสไตล์การเล่นของโรส เช่นเดียวกับที่โรสกระหายบาสเกตบอล และบัดนี้ เจ้าของตำแหน่ง MVP ผู้นี้พร้อมจะกลับมาแล้ว 

เกมแรกที่โรสได้ลงเล่นคือเกมที่ต้องพบกับอินเดียนา เพเซอร์ส ในเกมพรีซีซัน ถึงแม้ว่าการเล่นของเขาจะไม่ดุดันเหมือนเดิมมากนัก แต่ก็ถือได้ว่าดูดีขึ้นเรื่อยๆ หลักฐานคือการทำ 22 คะแนนเพียงคนเดียวในการเกมที่เอาชนะดีทรอยต์ พิสตันส์ ณ ขณะนั้น ทุกคนต่างมีความคิดเช่นเดียวกันว่า ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของชิคาโก บูลส์กำลังจะกลับมาอีกครั้ง

แต่เพียงแค่ 10 เกมหลังจากนั้น ทุกอย่างก็ต้องจบลง เมื่อโรสบาดเจ็บอีกครั้งในบริเวณเข่าขวาในเกมที่เจอกับพอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ซึ่งผลการตรวจ MRI ชี้ว่า เขามีอาการหมอนรองกระดูกที่เข่าแตก ต้องได้รับการผ่าตัด และต้องปิดฉากฤดูกาลไปอีกครั้ง สำหรับเดอร์ริก โรส ‘อดีตมิสเตอร์ MVP’ ที่เหลือเพียงแค่ชื่อให้แฟนๆ ต้องคิดถึง

หลังจากนั้น เดอร์ริก โรสไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะนอกจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่จากอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สภาพจิตใจของเขาก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ จนสุดท้าย ในปี 2016 ชิคาโก บูลส์จำใจที่จะต้องปล่อยตัวเขาออกไป จากสุดยอด MVP ตอนนี้เขาเป็นแค่นักบาสธรรมดาเพียงเท่านั้น โรสต้องระหกระเหินพเนจรไปตามทีมต่างๆ โดยไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงหรือคืนฟอร์มการเล่นเหมือนตอนที่อยู่กับชิคาโก บูลส์ได้อีกเลย 

จนโรสในวัย 30 ที่ได้มาอยู่กับทีมมินนิโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ ในช่วงปี 2018 เขาได้ละทิ้งความกดดันในฐานะ MVP และเริ่มต้นใหม่ในฐานะของ ‘นักบาสธรรมดา’ จนเขาได้ทำลายสถิติของตัวเอง ด้วยการทำแต้มมากที่สุดในการเล่นอาชีพที่ 50 แต้ม ในเกมที่เจอกับยูทาห์ แจ็ส ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เล่นด้วยลีลาที่สุดแสนจะเร้าใจอย่างในอดีต แต่เขาก็ได้หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาหลังจบเกม

น้ำตาที่ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ แต่เป็นน้ำตาของผู้ชนะ ชัยชนะต่อร่างกายที่ทรยศเขา ชัยชนะต่อแรงกดดันที่ได้รับจากสังคม น้ำตาของความภูมิใจที่แสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า MVP ผู้นี้ยังไม่สิ้นลายไป 

ปัจจุบัน โรสยังคงโลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดกับทีมนิวยอร์ก นิกส์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดุดันหรือน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนในอดีต แต่เขาได้พิสูจน์ให้โลกรู้แล้วว่า ฉายา MVP ที่ได้มา ไม่ได้มาจากสไตล์การเล่นหรือพรสวรรค์ส่วนตัว แต่เป็นความทะนงที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ที่แม้จะใหญ่โตสักเท่าไร มิสเตอร์ MVP ผู้นี้จะก้าวข้ามมันไปได้อย่างแน่นอน

 

อ้างอิง 

https://www.biography.com/athlete/derrick-rose

https://en.wikipedia.org/wiki/Derrick_Rose

https://tonesanddefinition.com/2018/12/24/derrick-rose-feature/

https://tonesanddefinition.com/2018/11/01/derrick-rose-wolves-50-points/

https://clutchpoints.com/derrick-rose-a-tragic-injury-history-toppled-a-promising-career/

https://www.thefamouspeople.com/profiles/derrick-rose-15273.php

Tags: , , , , ,