ใครบ้างที่จะไม่ตกหลุมรักรอยยิ้มของอารางากิ ยูอิ ดาราสาวที่คว้าอันดับหนึ่งมาสามปีซ้อน ในตำแหน่งนักแสดงสาวที่หนุ่มๆ อยากได้เป็นแฟน ประจำปี 2017-2019 เธอยังคงมีความน่ารักแม้จะอยู่ในวัยสามสิบ และมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนๆ
อารางากิ ยูอิ มีชื่อเล่นที่แฟนๆ เรียกติดปากว่า Gakki (กั๊กกี้) แต่ส่วนใหญ่แฟนๆ ชาวไทยจะเรียกเธอว่า งักกี้ มากกว่า งักกี้เป็นทั้งดารา นางแบบ และนักร้อง โดยเริ่มเป็นนางแบบนิตยสารตอนอายุ 13 ปี และมีผลงานการแสดงครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปี จากนั้นงักกี้ก็ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ เธอได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าหลายแบรนด์ ได้รับรางวัลการแสดงมากมายจากหลายเวที และยังเป็นหญิงสาวที่ทุกคนมักจะโหวตให้ในหัวข้อต่างๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าใครก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเวลาได้เห็นรอยยิ้มของงักกี้แล้วรู้สึกสบายใจ บวกกับความสดใสที่เธอมียิ่งทำให้เข้าไปครองหัวใจทุกคนได้ง่ายๆ มาชมกันว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมางักกี้ฝากความประทับใจไว้ในภาพยนตร์เรื่องไหนกันบ้าง!
Sky of Love (2007)
รับบท ทาฮาระ มิกะ เด็กสาววัยมัธยม
Sky of Love หรือ Koizora เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจาก Cell phone novel โดยพื้นฐานของเรื่องยังมาจากเหตุกาณ์ในชีวิตจริงของผู้เขียนนามว่า มิกะ อีกด้วย จนต่อมาถูกนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ และถูกหยิบยกมาสร้างเป็นภาพยนตร์
มิกะ เป็นเด็กสาวที่ไม่ประสากับความรัก เธอไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครมาก่อนจนกระทั่งฤดูร้อนหนึ่งมาถึง มิกะทำโทรศัพท์หาย แล้วเมื่อเจอโทรศัพท์ตัวเองก็ดันมีเบอร์แปลกๆ โทรมา ปลายสายบอกว่าเขาคือคนที่เก็บโทรศัพท์ได้ และพวกเขาก็คุยกันตลอดฤดูร้อน เมื่อมาถึงการเผชิญหน้ากันครั้งแรก มิกะตกใจที่คนๆ นั้นคือฮิโระ เด็กหนุ่มลุคแบดบอยที่มีแฟนสาวอยู่แล้ว แต่เขากลับให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะอยู่เคียงเธอ ซึ่งเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่ผลกระทบที่ตามมานั้นใหญ่หลวงกว่าที่คิด
ทั้งมิกะและฮิโระต้องพบกับอุปสรรคมากมายตลอดระยะเวลา สุขปนไปด้วยเศร้า หัวเราะเคล้าไปด้วยน้ำตา แล้วจู่ๆ ฮิโระก็เป็นฝ่ายเดินจากไป ไร้ร่องรอยของความรักที่เคยมีมา มิกะได้แต่โศกเศร้าอยู่ฝ่ายเดียว เธอไม่หลงเหลือศรัทธาในความรักอีกแล้ว เธอไม่รู้ว่าจะสามารถรักใครได้มากเท่าเขาอีกไหม ฮิโระไม่บอกอะไรกับเธอเลย เขาจากไปพร้อมความลับที่จะทำให้เราทุกคนหัวใจสลาย ไม่ใช่แค่มิกะเท่านั้นที่จะเจ็บปวดอยู่คนเดียว
จริงๆ แล้วความรักหมายถึงอะไร การเห็นอีกคนมีความสุข หรือการเห็นเรามีความสุขไปด้วยกัน ตลอดการพบพาลาจากของมิกะกับฮิโระ พวกเขาประสบปัญหาใหญ่จนชีวิตซวนเซ เมื่อผ่านพายุลูกหนึ่ง พายุลูกใหม่ก็พร้อมที่จะพัดเข้ามา และพายุลูกสุดท้ายนี้อาจหมายถึงการจากไปนิรันดร์ เราจึงอยากวางใจได้ว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะยังยิ้มได้ตลอดไป
Twilight: Saya in Sasara (2014)
รับบท ซายะ คุณแม่ลูกหนึ่ง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยาย Sasara Saya เขียนโดยโทโมโกะ คาโน ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2001 โดยในเรื่องนี้จะเป็นการรับบทคุณแม่ครั้งแรกของงักกี้
ความสูญเสียในครอบครัวเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ต้องพบเจอ ดังนั้นชีวิตซายะกับยูทาโร่ จึงมีจุดร่วมคล้ายๆ กัน ซายะเสียพ่อและแม่ไปตั้งแต่เด็ก เธอจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วครอบครัวคืออะไร ส่วนยูทาโร่ ก็เสียพ่อไป แต่เขาค่อนข้างที่จะเกลียดพ่อตัวเอง ทั้งสองพบกันและตกหลุมรักกันในไม่ช้า ยูทาโร่คือนักเล่าเรื่องตลกที่มีแต่ซายะเท่านั้นที่หัวเราะให้กับมุกของเขา นี่เองละมั้งที่เรียกว่าฟ้าส่งคนทั้งสองมาคู่กัน
แต่ไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือคำสาป หลังจากทั้งคู่มียูสุเกะ ลูกชายตัวน้อยได้ไม่นาน ยูทาโร่ก็ด่วนจากไป ซายะกลายเป็นแม่หม้ายยังสาว เธอตัดสินใจย้ายไปยังเมืองซาซาระ เมืองอันห่างไกลที่คนหนุ่มสาวไปใช้ชีวิตที่อื่นกันหมดแล้ว ชีวิตของซายะต่อจากนี้คงจะต้องปรับตัวกันต่อไป แต่มีอีกเรื่องที่ให้ซายะต้องรับมือ นั่นคือ ผียูทาโร่! เขายังไม่ไปไหน เพราะความเป็นห่วงและต้องการปกป้องภรรยา รวมถึงลูกของตัวเอง จากผีอีกตนที่พยายามจะเอาตัวยูสุเกะไป ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพ่อของยูทาโร่เอง เรื่องชุลมุนๆ นี้จึงทำให้เมืองซาซาระอลหม่านขึ้นมาเหมือนกัน
ซายะคือแม่ที่พร้อมจะอุทิศทุกอย่างเพื่อลูก เธอไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว แต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ครอบครัวคือสิ่งที่หล่อหลอมเรา คือสังคมแรกที่เรามี คือพื้นฐานของชีวิตที่เราจำ บางทีภาพยนตร์เรื่องนี้อาจทำให้ใครบางคนกลับมาเชื่อมั่นในครอบครัวได้อีกครั้ง หากว่าในวันนี้เรายังมีสิ่งใดติดค้างต่อกัน
Have a Song on Your Lips (2015)
รับบท คาชิวากะ ยูริ คุณครูที่เคยเป็นนักเปียโนอัจฉริยะ
เป็นผลงานภาพยนตร์อีกเรื่องที่มีพื้นฐานมาจากนวนิยาย ที่สำคัญยังเป็นผลงานของ เออิจิ นาคาตะ (หรือนามปากกาเดิม โอตสึอิจิ) นักเขียนผู้สร้างชื่อตัวเองด้วยการเขียนเรื่องสืบสวน แต่ก็โดดเด่นด้วยสไตล์อันหลากหลาย เต็มไปด้วยความเศร้า แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น
Kuchibiru ni Uta o เป็นนวนิยายที่ได้รับรางวัล 61th Shogakukan Jido Shuppan Bunkasho ในปี 2012 และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2014 โดยใช้เวลาถ่ายทำราวสองเดือนในจังหวัดนางาซากิ
เรื่องราวเกิดขึ้น ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในโกโตะ เกาะเล็กๆ ของจังหวัดนางาซากิ ชมรมประสานเสียงของโรงเรียนอยู่ในระหว่างการเตรียมตัวเพื่อไปแข่งขัน แต่ฮารุโกะ ครูสอนดนตรีและที่ปรึกษาชมรมต้องลาคลอด ส่งผลให้การเตรียมตัวต้องชะงักลง ฮารุโกะจึงขอให้ยูริ เพื่อนสนิทมาสอนแทนชั่วคราว ซึ่งนี่เป็นการกลับบ้านในรอบ 15 ปีของเธอ ยูริเคยเป็นนักเปียโนอัจฉริยะ แต่ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเพราะอะไรเธอถึงเลิกเล่นเปียโน
เมื่อยูริเข้ามารับหน้าที่ต่อฮารุโกะ ชมรมประสานเสียงก็มีสมาชิกเป็นเด็กนักเรียนชายเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ นี่เป็นการดีเพราะเสียงร้องของพวกเขาที่เปล่งออกมาจะมีโทนที่แตกต่างกันมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ยูริมอบให้เป็นการบ้านของเด็กๆ คือ การเขียนเรียงความถึงตัวฉันในอีก 15 ปีข้างหน้า เรียงความเหล่านี้ไม่เพียงแต่เปิดเผยความในใจของเด็กๆ แต่มันยังขัดเกลาความรู้สึกของยูริด้วย ตอนนั้นเราเป็นอย่างไร ตอนนี้เราเป็นอย่างไร ต่อจากนี้เราจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราทั้งนั้น แม้ว่าชีวิตจะกำหนดตัวเลือกมาให้น้อยแค่ไหนก็ตาม
Mixed Doubles (2017)
รับบท โทมิตะ ทามาโกะ สาวนักปิงปองที่ละทิ้งอดีต
ภาพยนตร์นี้เป็นการร่วมงานกันครั้งที่สองระหว่างผู้กำกับ จุนอิจิ อิชิกาวะ และนักเขียนบท เรียวตะ โคซาวะ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งทำงานร่วมกันมาในปี 2015 ในภาพยนตร์เรื่อง April Fools โดย Mixed Doubles เริ่มถ่ายทำตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และเสร็จสิ้นภายในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2017
การสวมบทนักปิงปองในเรื่องนี้ของงักกี้ ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก 60th Blue Ribbon Awards ในปี 2017
บางครั้งความพยายามก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จ แต่อย่างไรเสียความพยายามนั้นก็จะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน Mixed Doubles เป็นภาพยนตร์ฟีลกู๊ดที่ก่อเกิดจากความผิดหวังของคนสองคน ทามาโกะ หญิงสาวที่อดีตเคยเป็นนักปิงปองมือรางวัล เธอถูกแม่เคี่ยวเข็ญให้ฝึกซ้อมมาตั้งแต่เด็ก พอแม่จากไปด้วยโรคภัย ทามาโกะก็ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับปิงปอง เพราะเธอต้องการเป็นแค่สาวน้อยธรรมดาๆ ทั่วไป
ทามาโกะมีชีวิตไปตามครรลอง เรียนจบก็เข้าทำงานที่บริษัท เธอพบกับอากิฮิโกะ เอจิมะ หนุ่มหน้าหวานขวัญใจสาวๆ และเป็นนักปิงปอง แล้วก็คบกับเขาได้ระยะหนึ่งก่อนจะโดนทิ้ง เธอช้ำรักจนลาออกจากงาน และหนีกลับบ้านต่างจังหวัด ที่นั่นเธอได้พบกับเพื่อนเก่า ซึ่งยังคงดูแลชมรมปิงปองที่มีสมาชิกเท่าหยิบมือ ทามาโกะวางแผนจะแก้แค้นเอจิมะด้วยการลงแข่งปิงปอง ทีมผสม ดังนั้น เธอจึงต้องร่วมมือกับฮากิวาระ ชายหนุ่มท่าทางซังกะตายที่แบกความเจ็บปวดมาไม่ต่างกัน และแล้วทีมฟลาวเวอร์ก็ถือกำเนิด มันจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจของทุกคนในชมรม เปลือกของความเศร้าที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้จะถูกกระเทาะออกทีละน้อย สิ่งที่พยายามกันมาตลอดจะช่วยสมานบาดแผล แล้วในวันพรุ่งนี้รอยยิ้มก็จะปรากฏอีกครั้ง
Code Blue: The Movie (2018)
รับบท ชิราอิชิ เมกุมิ แพทย์สาว หนึ่งในทีม Doctor Helicopter
Code Blue: The Movie ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของประเทศญี่ปุ่นในปี 2018 โดยทำเงินไปถึง 9.23 พันล้านเยน ซึ่งเนื้อหาของภาพยนตร์นั้นต่อยอดมาจากซีรีส์โทรทัศน์ที่ผลิตออกมาถึง 3 ซีซั่น (ออกฉายปี 2008, 2010 และ 2017)
จุดเริ่มต้นนั้นเป็นเรื่องราวของแพทย์ฝึกหัด 4 คน ที่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การได้ฝึกหัดเป็นแพทย์ประจำเฮลิคอปเตอร์ หน่วยแพทย์กู้ชีพที่ญี่ปุ่นให้การยอมรับในปี 2007
แพทย์ฝึกหัดทั้งหมดต่างก็เติบโตจากในหน้าที่การงานของตัวเอง พบเจออุปสรรคบ้างตามรายทาง แต่ท้ายที่สุดก็ผ่านมันมาจนได้ เนื้อหาในฉบับภาพยนตร์นี้เริ่มจากอุบัติเหตุรายแรงที่สนามบินนาริตะ แพทย์ทั้ง 4 คน ได้แก่ ไอซาวะ, เมกุมิ, มิโฮโกะ และ ฟูจิคาวะ ที่อยู่ในทีม Doctor Helicopter จึงต้องลงพื้นที่เพื่อไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ การทำงานในแต่ละครั้งของพวกเขาล้วนแล้วแต่แข่งกับเวลา เวลาทุกวินาทีที่เดินไปอาจหมายถึงลมหายใจของใครคนหนึ่ง สิ่งที่ต้องแบกรับนั้นมีค่าหมายถึงชีวิต หากช้าไปเพียงนิดความสูญเสียจะกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ
ส่วนหนึ่งของความตั้งใจในการทำซีรีส์นี้แต่ต้นนั้น สืบเนื่องมาจากญี่ปุ่นต้องการส่งเสริมให้เยาวชนสนใจและตระหนักถึงความสำคัญในอาชีพแพทย์ในศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน หลังจากที่ช่วงหนึ่งประเทศกำลังขาดแคลนอาชีพนี้ ดังนั้น นอกจากความสนุกสนานที่ Code Blue มอบให้แล้ว เราก็จะรับรู้ว่าทุกวินาทีนั้นมีค่ามากเพียงใด เพื่อที่เราจะไม่ปล่อยปละละเลยเวลาจนเกินไป