*บทความเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์
ผ่านไป 6 ปีหลังจากแอนิเมชัน Frozen ฮิตถล่มทลายพร้อมกับเพลงติดหูอย่าง Let It Go ที่ไม่ว่าใครก็คงร้องคลอตามได้ การกลับมาอีกครั้งของ Frozen 2 ที่เปิดตัวด้วยเพลงสไตล์คล้ายกันคือ Into the Unknown และเทรลเลอร์ฉายภาพการเติบโตของตัวละครทั้งห้าและการผจญภัยครั้งใหม่ไปยังดินแดนปริศนาท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วง ชวนให้สงสัยว่าคราวนี้ดิสนีย์จะนำเสนอเรื่องราวภาคต่ออย่างไร
เรื่องเปิดฉากด้วยการย้อนอดีต สองเจ้าหญิงวัยซนเล่นกันอย่างแสนสุขในปราสาทหลังใหญ่ พระราชาและราชินีชวนเด็กหญิงทั้งสองเข้านอนพร้อมกับนิทานว่าด้วยป่าต้องมนต์ นั่นคือความหลังที่มาพร้อมกับเสียงเพรียกปริศนาซึ่งก้องดังในหูราชินีเอลซา (Idina Menzel) แห่งอาณาจักรแอเรนเดลล์ ซึ่งกำลังจะพาเธอไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่ของเจ้าหญิงอันนา (Kristen Bell) โอลาฟ (Josh Gad) ตุ๊กตาหิมะน่ารักน่าชัง คริสตอฟ (Jonathan Groff) คนรักของอันนา และสเวน กวางเรนเดียร์คนรัก เอ้ย! คู่หูของคริสตอฟ ทั้งห้าชีวิตร่วมเดินทางตามเสียงเพรียกดังกล่าวจนมาเจอกับป่าต้องมนต์ซึ่งปกคลุมโดยหมอกลึกลับ
ในป่าแห่งนั้นเองที่ทั้งห้าจะต้องเผชิญกับจิตวิญญาณของธรรมชาติทั้งสี่ ชนเผ่าพื้นถิ่นนอร์ธัลดรา (Northuldra) รวมถึงความลับที่เป็นสาเหตุของหมอกต้องสาปซึ่งปกคลุมจนผู้อาศัยในป่าต้องมนต์ไม่มีโอกาสมองเห็นท้องฟ้า ยิ่งเดินทางก็ยิ่งเจอกับเรื่องราวที่ดำมืดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรแอเรนเดลล์ที่เรื่องเล่าในปัจจุบันอาจสวนทางกับข้อเท็จจริงในอดีต
สายน้ำคือผู้กักเก็บความทรงจำแล้ว “คุณสามารถเผชิญกับสิ่งที่แม่น้ำรู้หรือเปล่า?” นี่คือท่อนหนึ่งของเพลงที่แม่ของทั้งสองร้องให้ฟังก่อนเข้านอน ความจริงที่ค้นพบเจ็บปวดอย่างยิ่งเพราะต้นเหตุของวิกฤติทั้งหมดเกิดจากน้ำมือของคนในครอบครัวของเธอเอง โดยทั้งสองไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตแม้จะต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักยิ่ง
นอกจากเพลงเปิดตัวที่ชวนติดหูของเอลซาแล้ว ตัวละครทุกตัวยังมีเพลงเด็ดของตัวเองซึ่งมีสไตล์แตกต่างกันอย่างยิ่ง ตั้งแต่เพลง When I Am Older ซึ่งเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของโอลาฟ เพลง Lost in the Woods ร็อคสไตล์ 80s ที่ชวนหัวเราะทั้งน้ำตาของคู่หู่คริสตอฟและสเวน และเพลงเดี่ยวสะเทือนอารมณ์ของเจ้าหญิงอันนา The Next Right Thing ที่ฉุดให้เธอลุกขึ้นยืนหลังจากรับรู้ความจริงที่เจ็บปวด และค่อยๆ แก้ไขไปทีละเล็กละน้อย
ส่วนใครที่กลัวลืมเนื้อเรื่องในภาคแรกแล้วไม่มีเวลาย้อนกลับไปชมก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะใน Frozen 2 ได้รวบรัดเรื่องราวของภาคแรกฉบับย่นย่อ (และตลกมาก!) เอาไว้แล้ว
ด้วยเอฟเฟกต์ตระการตา การเล่นมุมกล้องที่ชวนตื่นเต้น และฉากต่อสู้เร้าใจสไตล์แม่มาเองราวกับ Captain Marvel ทำให้ Frozen 2 ผ่านฉลุยในแง่ความบันเทิง โดยทั้งหมดนี้ฉาบทาอยู่บนประเด็นอ่อนไหวอย่างผลกระทบจากการล่าอาณานิคมและวิกฤติสิ่งแวดล้อมซึ่งเกิดจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ โดยสื่อสารให้เจ้าหญิงทั้งสองซึ่งเปรียบดังคนรุ่นใหม่ทำหน้าที่แก้ไขข้อผิดพลาดของคนรุ่นก่อนหน้า
ชนเผ่านอร์ธัลดรา คือภาพแทนของชาติพันธุ์ที่ใช้ชีวิตแนบชิดกับวิถีธรรมชาติ ก่อนที่วิถีดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลจากการมาถึงของชาวแอเรนเดลล์ที่แรกเริ่มเข้าหาเพื่อผูกมิตรก่อนจะเบียดขับและหักหลังเพื่อช่วงชิงทรัพยากร ภาพดังกล่าวไม่ต่างจากชาวอินเดียนแดงที่ถูกรุกรานโดยการตั้งถิ่นฐานของชาวอเมริกัน ชาวอะบอริจินซึ่งถูกเบียดขับจากการตั้งถิ่นฐานของชาวออสเตรเลีย เรื่องราวของการยึดครองและช่วงชิงจากชนกลุ่มน้อยโดยผู้ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยกว่าไม่ใช่ปัญหาใหม่ ความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นของคนรุ่นหลังก็ควรนำมาใช้เพื่อ ‘แก้ไข’ ในสิ่งที่คนรุ่นก่อนทำผิดพลาด
นอกจากรุกรานเพื่อนมนุษย์แล้ว หลายครั้งที่มนุษยชาติพัฒนาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเขื่อน ถนน หรือกระทั่งการสร้างเมืองโดยรุกรานธรรมชาติ แม้ว่าในอดีตทรัพยากรเหล่านั้นมีมากมายจนดูเหมือนว่าใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่ช่วยก่อร่างโลกสมัยใหม่ก็ได้กลายเป็นสิ่งล้าสมัย จึงเป็นความรับผิดชอบของคนรุ่นใหม่ในการตัดสินใจชั่งน้ำหนักว่าถึงเวลาที่ควร ‘ทำลาย’ โครงสร้างเหล่านั้นเพื่อคืนพื้นที่ให้กับธรรมชาติแล้วหรือยัง
น่าเสียดายที่เรื่องราวในอดีตของคนรุ่นก่อนถูกถ่ายทอดผ่านความทรงจำเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีพื้นที่ให้ตัวละครเหล่านั้นอธิบายเหตุผลที่ตนเองตัดสินใจกระทำไป แต่เรื่องราวที่บอกเล่าใน Frozen 2 ก็ถือว่าค่อนข้างหนักแล้วสำหรับแอนิเมชันที่เหมาะสำหรับคนทุกวัย และต่อให้จะมีผู้ใหญ่มาห้ามปรามการกระทำของเจ้าหญิงอันนา ผู้เขียนก็เกรงว่าเธอจะเชิดหน้าแล้วตอกกลับว่า OK Boomer เสียเปล่าๆ
แอนิเมชันเรื่องนี้ไม่แตะประเด็นข้อขัดแย้งและความแตกต่างทางความคิดของคนระหว่างวัย ไม่มีการตอกย้ำถึงการติดสินใจในอดีตที่กลับกลายเป็นปัญหาในปัจจุบัน แต่เป็นการมองไปข้างหน้าโดยมีตัวแสดงคือคนหนุ่มสาวที่พยายามแก้ไขและมองไปยังอนาคตที่แม้จะมืดมนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือก้าวต่อไปและทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องก็น่าจะเพียงพอแล้ว