หลังการประกาศยุบสภาฯ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ประกาศวันเลือกตั้งในเป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 แต่การเลือกตั้งครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากการเลือกตั้งในปี 2566 อย่างชัดเจน 

หากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน การเลือกตั้งคือพื้นที่ของความหวัง โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ ความหวังว่าเสียงของตนจะเปลี่ยนบางอย่างได้ ความหวังแบบที่เรียกกันตรงไปตรงมาว่าเลือกเพื่อเปลี่ยน

แต่บรรยากาศการเลือกตั้งครั้งนี้กลับเงียบและหนักอึ้งกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อบาดแผลทางการเมืองเกิดซ้ำแล้วซ้ำรอด ทั้งเกมอำนาจที่เริ่มขึ้นหลังปิดหีบเลือกตั้ง การเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชน และวัฏจักรความเน่าเฟะที่ทับถมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

คำถามจึงไม่ใช่ว่าใครจะชนะแต่เป็นการเลือกตั้งครั้งนี้ยังสร้างความหวังได้อยู่หรือไม่ หรือสุดท้ายเลือกตั้งแล้วทุกอย่างจะกลับไปเป็นแบบเดิมกันแน่

ปัจจุบันประเทศไทยมีพรรคการเมืองทั้งหมด 76 พรรค ฟังดูเหมือนมีทางเลือกมาก หากเทียบกับประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาที่มีพรรคหลักเพียง 2 พรรคใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเลือกเหล่านั้นกลับหดแคบลงอย่างน่าประหลาดใจ

เมื่อมองพรรคการเมืองและตัวผู้สมัครอย่างตั้งใจ พรรคที่พอเลือกได้กลับเหลืออยู่เพียงไม่กี่พรรค

ฝั่งอนุรักษนิยมหนีไม่พ้นประชาธิปัตย์ คลื่นลูกใหม่อย่างภูมิใจไทย ตามมาด้วยกล้าธรรมและพลังประชารัฐ

ฝั่งเสรีนิยม ก็ยังวนกลับมาที่เพื่อไทยและพรรคประชาชน ซึ่งในอดีตเคยเปิดตัวในฐานะพรรคที่ท้าทายโครงสร้างเดิม (หรือเคยเรียกตนเองว่า เป็นแนวประชานิยม) แต่ปัจจุบันก็ยังยากจะนิยามตำแหน่งทางการเมืองของตนเองอย่างชัดเจน

ไม่รู้ว่าผู้อ่านรู้สึกเช่นเดียวกันหรือไม่ 76 พรรค แต่ทำไมจึงรู้สึกเหมือนยังไร้ตัวเลือก เพราะเมื่อคัดกรองด้วยความคาดหวัง ความเชื่อ และบาดแผลจากอดีต ตัวเลือกกลับหายไปแทบทั้งหมด

ความผิดหวังซ้ำซากทำให้ทางเลือกในฝั่งเสรีนิยมและประชานิยมของไทยดูน้อยเกินไป หรือพูดให้ชัดกว่านั้น ประเทศไทยอาจมีพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายน้อยเกินไป หรือแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ หากวัดตามสเปกตรัมทางการเมือง เนื่องจากพรรคที่ประกาศตนว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามกับอนุรักษนิยม กลับดูเอนเอียงไปทางขวามากกว่าที่คิด

แล้วเหตุใดพรรคฝ่ายซ้ายในไทยจึงมีน้อย

หากย้อนดูประวัติศาสตร์ไทยจะพบว่า พรรคการเมืองที่ถูกคุกคามด้วยอำนาจนิยมถูกใช้อำนาจบังคับ หรือได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร 2 ครั้งล่าสุดนี้ จะถูกจัดว่าเป็นผู้ที่อยู่ในฝ่ายซ้ายไปโดยปริยาย

ขณะเดียวกันในระดับโครงสร้างของสังคม มนุษย์มักให้คุณค่ากับขวามากกว่าซ้ายไม่ว่าจะเป็นการฝึกเขียน การยกของ หรือการกระทำใดๆ ที่สำคัญ ส่วนข้างซ้ายกลับใช้กับสิ่งที่ไม่มีความสลักสำคัญมากนัก หรืออย่างที่หลายคนชอบพูดว่ามือข้างซ้ายไว้ล้างตูด

เช่นเดียวกับการเมือง ฝ่ายขวามักเป็นพรรคของผู้มีอำนาจในสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และมีผลประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตที่สุขสบาย ในขณะที่ฝ่ายซ้ายเป็นภาพแทนของผู้ทุกข์ยาก ประชาชน ที่ต่อสู้กับอำนาจของผู้ที่กดขี่ และต้องต่อสู้กับโครงสร้างกดทับ

เช่นเดียวกับประเทศไทย ทั้งการเมืองสังคมก็ยังเทขวา ที่แม้แต่สัดส่วนพรรคการเมืองก็ยังเทไปฝ่ายผู้มีอำนาจ เพื่อรักษาอำนาจนิยมสืบต่อไป

สุดท้าย ประชาชนจึงไม่ได้เลือกในสิ่งที่ต้องการ แต่ต้องเลือกภายใต้สิ่งที่มีความผิดพลาดน้อยที่สุด และเลือกสิ่งที่พอจะเป็นไปได้มากกว่าสิ่งที่อยากให้เป็นจริง

สุดท้าย เราก็ยังต้องออกไปเลือกตั้ง เพราะหากไม่เลือก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ความว่างเปล่าจากการไม่ลงคะแนน แต่คือการปล่อยให้คนอื่นเลือกและใช้อำนาจแทน และปล่อยให้โครงสร้างเดิมที่เน่าเฟะเดินหน้าต่อไปอย่างไร้แรงต้าน และไม่เห็นหัวประชาชน

แม้ว่าจะเบื่อหน่าย สิ้นหวังแค่ไหน แต่ไม่ควรปล่อยให้ความเฉยชาเหล่านี้มอบประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจ จงออกไปเลือกตั้งเพื่อให้เสียงของประชาชน ที่พวกเขาจะฟังเรา (ประชาชน) แค่ตอนหาเสียง เพื่อส่งเสียงปฏิเสธว่าจะไม่ยอมจำนนต่ออำนาจอย่างสมบูรณ์

แม้ในวันที่สิ้นหวัง ความหวังยังมีอยู่

แต่มีอยู่ในประชาชน

“If there is hope, it lay in the Proles.” จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell)

Tags: , , , , , , , , , , ,