สัปดาห์ที่ผ่านมา เต็มไปด้วยเรื่องลับๆ ล่อๆ อยู่หลากหลายเรื่อง

เราขึ้นต้นสัปดาห์ด้วยความขัดแย้งใหญ่ในรัฐบาลที่เล่นกันผ่าน ‘สงครามตัวแทน’ อย่างความพยายามดันให้เรื่องการ ‘ฮั้ว’ เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กลายเป็นคดีพิเศษให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสอบสวนการเลือกตั้งอย่างเต็มอิ่มด้วยคดีอาญา คดีความมั่นคงที่ไปถึงเรื่องการ ‘อั้งยี่ ซ่องโจร’

สะท้อนภาพความขัดแย้งในรัฐบาล โดยเฉพาะระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย และความขัดแย้งหลักระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับเนวิน ชิดชอบ ผู้อยู่เบื้องหลังพรรคภูมิใจไทย สองผู้มากบารมีตัวจริง โดยมีเดิมพันอยู่ที่การ ‘ล้ม’ สว.และปรามอำนาจของพรรคภูมิใจไทยให้อยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น ไม่ให้ 70 เสียงขี่ 141 เสียงของผู้นำรัฐบาลอย่างที่เคยเป็นมา

จริงๆ แล้วคนที่ติดตามข่าวน่าจะทราบดีว่า สว.ชุดนี้ คือความแปลกประหลาดถึงที่สุดของการเมืองไทย การโหวตถูกโหวตเป็นกลุ่มก้อน เป็นองคาพยพเดียวกัน เรียกได้ว่าทำตามสั่งอย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งวันเลือกตั้งก็ยังอุดมไปด้วยความผิดปกติ มีการจัดตั้งบล็อกโหวตกันอย่างเอิกเกริก โดยที่หน่วยงานอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้งได้แต่มองตาปริบๆ ไม่พบความผิดปกติ

ซึ่งแน่นอนที่มาของ สว.คือ เรื่องใหญ่มาก พวกเขาคือคนทำหน้าที่ ‘สภาสูง’ ที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 อันเกิดจากเผด็จการ ดันให้อำนาจพวกเขาทั้งการเห็นชอบองค์กรอิสระ และต้องใช้เสียงพวกเขาจำนวนกว่า 1 ใน 3 หากคิดจะแก้รัฐธรรมนูญ

ล็อกของวุฒิสภากลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ก่อนหน้านี้เป็นหนามตำใจรัฐบาล ซึ่งหัวหน้ารัฐบาลไม่ได้มีเสียงมากนัก และหลังจากนี้ก็แน่นอนว่าจะขัดขารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทุกรอบ หากพรรคเพื่อไทยไม่ได้เห็นด้วย

แต่สุดท้ายการพิจารณาให้เป็นคดีพิเศษก็จบลงด้วยการ ‘เลื่อนประชุม’ ออกไปอีก 1 สัปดาห์ ท่ามกลางข่าวที่หนาหู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อกฎหมาย ที่มีผู้ระบุว่าถูกทักท้วงโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือเรื่องความพยายาม ‘ล็อบบี้’ ที่ ‘ตำรวจ’ หายไปจากที่ประชุมวันนั้นมากถึง 3 คน หากโหวตเป็นคดีพิเศษก็ไม่ผ่าน… อย่ากระนั้นเลย เลื่อนประชุมไปอีกสัปดาห์ดีกว่า

เรื่องความขัดแย้งระหว่างทักษิณ-เนวิน นำมาซึ่งการยื่นเรื่องล้ม สว. และจบลงด้วยองค์ประชุมล่ม-เลื่อนพาการเมืองไทยมาอีกจุดหนึ่ง ให้เห็นการดีลอีกขั้นของชนชั้นนำ 

หากเป็นระบบการเมืองปกติ สว.แบบนี้จะไม่มีทางโผล่ขึ้นมาได้ เพราะมองจากดาวอังคารก็รู้ว่า ระบบแบบนี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณวุฒิ-วัยวุฒิ เข้ามานั่งเป็น สว.โดยเป็นกลุ่มก้อน เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองหนึ่งพรรค ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญชัดเจน

แต่ในทางเดียวกัน หากเป็นระบบการเมืองปกติ รัฐบาลแบบนี้ก็ไม่น่าจะตั้งขึ้นมาได้ เพราะลมใต้ปีกที่พยุงให้พรรคเพื่อไทยขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาลนั้น ย่อมไม่เลือกพรรคเพื่อไทย ย่อมไม่ยอมให้ทักษิณที่เคยเป็นศัตรูกันมาตลอด 2 ทศวรรษ กลับบ้านมานำพรรค ถ้าไม่มีศัตรูตัวใหม่อย่างพรรคก้าวไกล

เช่นเดียวกันใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลัง สว.ก็ไม่มีทางดำเนินขั้นตอนเลือกตั้ง-สรรหา ได้แปลกประหลาดอย่างนี้ หากไม่อ้างเหตุผลสำคัญคือ เพื่อขัดขวาง สว.สีส้ม

ทั้งหมดมีการวิเคราะห์ว่า นี่คือการเปิดน่านน้ำ เปิดดีลใหม่ เพื่อกดไม่ให้ ‘สีน้ำเงิน’ โตกว่านี้ บ้างก็ว่าเพื่อให้สีน้ำเงินแบ่ง สว. แบ่งโควตาองค์กรอิสระให้บ้าง ขณะที่บางคนก็บอกว่า พรรคเพื่อไทยอยากได้กระทรวงมหาดไทยคืน

ดีลทั้งหมดเกิดขึ้นในสถานการณ์การเมืองแบบ ‘ไม่พร้อม’ ในการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุของการสะสมทุนรอนไม่พอ หรือเหตุที่ว่าคะแนนนิยม คะแนนเสียง อาจยังไม่พอ

การเมืองไทยแบบใช้ ‘ดีล’ เป็นตัวนำ จึงเต็มไปด้วยความผิดปกติ ทว่าดำรงอยู่ภายใต้ความกลัว

ในเวลาเดียวกันช่วงปลายสัปดาห์ เราได้เห็นการเดินหน้าอย่างเต็มสูบของรัฐบาลไทย ในการส่งตัวชาวอุยกูร์รวม 40 ราย ที่ถูกคุมขังในไทยมา 11 ปี กลับซินเจียง ประเทศจีน โดยที่ไม่มีใครคาดคิดตอนตี 2

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไทยปฏิเสธมาตลอดว่า จะไม่ส่งตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้กลับ และรู้ดีว่าผลลัพธ์ที่ตามมา ไม่ว่าจะด้วยปฏิกิริยาจากนานาชาติ ไม่ว่าจะเสียงเตือนเหตุก่อการร้ายจะดังระงม ประเทศไทยจะอยู่ลำบากในเวทีโลก อยู่เคียงข้างได้อย่างเดียวคือเคียงข้างประเทศจีน

หากไม่ ‘แบก’ รัฐบาลมากเกินไป หลายคนเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยเคยมีนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ฉลาดกว่านี้ ไม่พาประเทศไทยไปอยู่ในจุดเสี่ยงแบบนี้ และแน่นอนว่าอาจดำรงอยู่ภายใต้ ‘ดีล’ บางอย่าง ที่คนไทยไม่อาจหยั่งรู้เช่นกัน

ข้อสังเกตคือ เรื่องการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศในตอนแรก ไม่ได้อยู่ภายใต้การรับรู้ของนายกฯ ต้องใช้เวลานับวัน นายกฯ ถึงจะแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดได้ และข้อสังเกตก็คือกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ก็ไม่ตอบคำถามนักข่าวในเรื่องดังกล่าว ตอบเพียงว่ารายละเอียดเป็นไปตามที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงข่าว

ฉะนั้นความลึกลับจึงแวดล้อมอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่ว่า เพราะเหตุใด ไทยจึงได้ ‘เชื่อ’ จีน ขนาดนั้น จนตัดสินใจให้ชาวอุยกูร์ที่อยู่ในไทยมานานกว่า 11 ปี ต้องกลับบ้านแบบกะทันหัน หรือภายใต้ดีลส่งกลับชาวอุยกูร์ รัฐบาลไทยเอาอะไรไป ‘เสี่ยง’ เอาอะไรไปแลก จนยอมส่งกลับชาวอุยกูร์ ทั้งที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย

สำนักข่าว AP รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวสำคัญว่า เกิดจากข้อตกลงระหว่าง ‘ทักษิณ’ และ ‘เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน’ ก่อนการเดินทางไปเยือนจีนของแพทองธารไม่นาน

ประเทศไทยในเวลานี้จึงอยู่ในการเมืองที่เต็มไปด้วยดีลลึกลับอีกครั้ง และอาจกล่าวได้ว่า เราไม่เคยปราศจากดีลแปลกๆ เลย หากตั้งต้นนับตั้งแต่ทักษิณกลับไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2566

คำถามสำคัญที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ คนไทยจะได้อะไรภายใต้ดีลแบบนี้ เราได้การเมืองที่มีเสถียรภาพหรือไม่ เราได้สภาพเศรษฐกิจ สังคม อย่างที่พึงปรารถนาหรือเปล่า หรือสุดท้าย ในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ คนไทยจะเป็นได้เพียง ‘ผู้เฝ้าดู’ ผู้มีอำนาจเปิดดีล-ปิดดีล ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่สิ้นหวัง ไร้อนาคต

ต้องไม่ลืมว่าตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และรั้งท้ายภูมิภาคอาเซียนมาหลายปี เราขาดเครื่องยนต์ใหม่ๆ ที่จะแข่งขันกับชาติอื่น และต่อให้รัฐบาลจะพยายามทำเค้กให้ก้อนใหญ่ขึ้นเพียงใด แต่ทั้งหมดก็ต้องใช้เวลา และต้องใช้เสถียรภาพทางการเมืองที่แน่นอน 

ไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้จะพาเราไปไกลถึงไหน ภายใต้ดีลลึกลับแบบนี้ รัฐบาลจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายที่หาเสียงไปได้หรือไม่ แต่ที่รู้ๆ ก็คือสภาพการเมืองไทยภายใต้ดีลเหล่านี้ได้สร้างความอึมครึมให้กับคนไทยขึ้นอีกครั้ง

เป็นความอึมครึมที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้วต่อเนื่อง และคงจะเกิดขึ้นอีกไปเรื่อยๆ หากบรรดาชนชั้นนำพร้อมใจ

และสุดท้าย เรายังอยู่กับตัวละครหน้าเดิม กับโครงสร้างเดิมๆ แบบนี้



Tags: , , , , , , ,